https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/issue/feed วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ 2025-12-01T14:22:27+07:00 พระครูสุธีกิตติบัณฑิต, รศ.ดร. krisada.sae@mcu.ac.th Open Journal Systems <p><strong><img src="https://so18.tci-thaijo.org/public/site/images/krisada/001-1447cc6dd353074809d937a61e946898.png" alt="" width="30" height="30" /><br />วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ</strong></p> <p><strong>E-ISSN</strong>: 3027-8643</p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : 4 ฉบับต่อปี <br />ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม <br />ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน <br />ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน<br />ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong></p> <p>วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงที่มีการประยุกต์พระพุทธศาสนากับศาสตร์ทางด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และการจัดการ การศึกษา และนิติศาสตร์</p> https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1392 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการสถานประกอบการโรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2025-07-17T16:07:11+07:00 ปัฐมา ภู่น้อย pattama.industry@gmail.com บุญทัน ดอกไธสง kempromwan@gmail.com เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง kempromwan@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการสถานประกอบการโรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการสถานประกอบการโรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3. เพื่อนำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการสถานประกอบการโรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 297 คน ใช้แบบสอบถามที่มี ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.979 และการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัยนำมาสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 10 รูปหรือคน เพื่อยืนยันผลการศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการสถานประกอบการโรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="สมการ" />=3.74) ดังนี้ ด้านการบริหารงาน ด้านการตรวจสอบ ด้านการวางแผน และด้านการตรวจสอบ 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการสถานประกอบการโรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า 1. ด้านการบริหารงาน ประกอบด้วย การตรวจสอบ การประเมินผล การวางแผน การบริหารงาน ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 2. หลักพละ 4 คือ ปัญญาพละ พลังปัญญา วิริยะพละ พลังความเพียร อนวัชชพละ พลังความซื่อตรง และสังคหพละ พลังเกื้อกูล ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการสถานประกอบการโรงงานสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า มี 5 ด้าน คือ มิติกายภาพ มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบริหารจัดการ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1591 การเสริมสร้างองค์ความรู้และการบริหารเครือข่ายสังคมในการพัฒนาโครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุขของคณะสงฆ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2025-10-05T15:58:06+07:00 พระปลัดสมนึก ธีรปญฺโญ oot1980@yahoo.com ประเสริฐ ธิลาว oot1980@yahoo.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้เพื่อ 1. ศึกษาบริบทการบริหารโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขของคณะสงฆ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. ศึกษาองค์ความรู้และเครือข่ายสังคมในการพัฒนาโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขของคณะสงฆ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 3. นำเสนอแนวทางในการเสริมสร้างองค์ความรู้และการบริหารเครือข่ายสังคมในการพัฒนาโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขของคณะสงฆ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การวิจัยเป็นแบบคุณภาพเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 25 รูปหรือคน แบ่งกลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มพระสงฆ์ กลุ่มผู้แทนหน่วยงานราชการ กลุ่มภาคีเครือข่ายและตัวแทนประชาชน กลุ่มผู้นำชุมชน และกลุ่มนักวิชาทางพระพุทธศาสนา และสนทนากลุ่มเฉพาะ 10 รูปหรือคน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง และแบบสนทนากลุ่มเฉพาะ ประชุมกลุ่มเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและข้อมูลตรงตามที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. บริบทการบริหารโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขของคณะสงฆ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีบริหารจัดการวัดเป็นศูนย์กลางตามแนวทางกิจกรรม 5 ส อย่างเข็มแข็ง วัดที่ไม่สำเร็จไปตามวัตถุประสงค์เนื่องจากขาดบุคลากรที่มีความชำนาญติดข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ 2. องค์ความรู้และเครือข่ายสังคมในการพัฒนาโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขของคณะสงฆ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการบรรลุจุดหมาย จัดกิจกรรมทางตรงและทางอ้อมมีส่วนร่วมการตัดสินใจร่วมเสียสละในการทำงานแบ่งปันผลประโยชน์ติดตามการประเมินผล ช่วยเหลือแลกเปลี่ยนข้อมูลใช้ทรัพยากรร่วมกัน และ 3. แนวทางในการเสริมสร้างองค์ความรู้และการบริหารเครือข่ายสังคมในการพัฒนาโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขของคณะสงฆ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างสภาพแวดล้อมให้น่ารื่นรมย์จัดระเบียบสิ่งจำเป็นให้เป็นหมวดหมู่ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมภายในวัดมีส่วนร่วมการฟื้นฟู รักษาศิลปวัฒนธรรม ร่วมจัดกิจกรรมวิถีชีวิตวิถีวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์ จัดการพื้นที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1456 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม 2025-08-10T22:53:41+07:00 พระครูปฐมวชิรานุวัฒน์ (ไพทูรย์ พนมสวย) phrakhrupathomwachiranuwat@gmail.com พระครูสังฆกิจวิริยะ (ปราบศึก อุทโย) phrakhrupathomwachiranuwat@gmail.com พระมหาวิเชียร สุธีโร phrakhrupathomwachiranuwat@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาวิเคราะห์สภาพทั่วไปในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต 2. เพื่อศึกษากระบวนการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต 3. เพื่อนำเสนอแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลภาคสนามจากผู้กำหนดนโยบาย กลุ่มเจ้าคณะผู้ปกครอง กลุ่มตัวแทนพระธรรมทูต กลุ่มตัวแทนข้าราชการ และกลุ่มตัวแทนประชาชน ด้วยการเลือกแบบเจาะจงตามลักษณะการเป็นตัวแทนของกลุ่มที่เหมาะสม จำนวน 18 รูปหรือคน ได้ใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ที่มีค่าดัชนีวัดความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ 1.00 เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพทั่วไป การวิเคราะห์ SWOT แสดงให้เห็นว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งเหมาะสม เครือข่ายวัดแข็งแกร่ง และพระธรรมทูตมีความรู้ลึกซึ้ง จุดอ่อนคือขาดแคลนพระธรรมทูต ช่องว่างระหว่างวัย และจำกัดด้านเทคโนโลยี โอกาสจากการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล ความสนใจการปฏิบัติสมาธิ และการท่องเที่ยวเชิงศาสนา อุปสรรคคือภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำบุญ และจำนวนพระสงฆ์ลดลง 2. กระบวนการเผยแผ่ ใช้ระบบ PDCA ในการบริหารจัดการ ครอบคลุมการวางแผน (วิเคราะห์สภาพแวดล้อม กำหนดวิสัยทัศน์ ระบุกลุ่มเป้าหมาย) การปฏิบัติ (เตรียมทรัพยากร บริหารทีม สร้างความร่วมมือ พัฒนาสื่อดิจิทัล) การตรวจสอบ (เก็บข้อมูล วิเคราะห์ผล ประเมินความพึงพอใจ) และการปรับปรุง (วิเคราะห์ปัญหา จัดลำดับความสำคัญ กำหนดมาตรการแก้ไข) 3. แนวการเผยแผ่ ประกอบด้วย ผู้ส่งสาร (ความรู้ลึกซึ้งในธรรม ทักษะสื่อสารใช้เทคโนโลยี) สาร (หลักธรรมพื้นฐาน เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ภาษาเข้าใจง่าย) ช่องทางสื่อสาร (เทศน์ สื่อออนไลน์ กิจกรรมวัฒนธรรม) และผู้รับสาร (เข้าใจความหลากหลาย สร้างการมีส่วนร่วม) การบูรณาการทั้งสี่องค์ประกอบจะทำให้การเผยแผ่มีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1453 รูปแบบการพัฒนาวัดของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา 2025-08-07T00:22:37+07:00 พระครูพิศิษฎ์พัชรบัณฑิต (เอกลักษณ์ อชิโต) 6401104008@mcu.ac.th พระครูสุตรัตนบัณฑิต (ประยูร โชติวโร) 6401104008@mcu.ac.th พระมหาไพฑูรย์ ปนฺตนนฺโท 6401104008@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพทั่วไปในการพัฒนาวัดของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา 2. ศึกษาองค์ประกอบในการพัฒนาวัด และ 3. เสนอรูปแบบการพัฒนาวัดของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากพระธรรมทูตในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 18 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพทั่วไปในการพัฒนาวัด มีความเข้มแข็งในด้านบุคลากรพระธรรมทูตที่มีความรู้ความสามารถในการเผยแผ่ธรรมะ การบริหารจัดการวัด และการสื่อสารภาษาอังกฤษ มีการสนับสนุนงบประมาณจากพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ การบริหารจัดการการเงินที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ สถานที่ตั้งเหมาะสม มีการคมนาคมสะดวก และได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของคณะสงฆ์ 2. องค์ประกอบในการพัฒนาวัด ประกอบด้วย 1. บุคลากรพระธรรมทูตที่มีความพร้อมด้านความรู้และทักษะเฉพาะทาง 2. งบประมาณและการจัดการทรัพยากรที่มีระบบโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ 3. สถานที่และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมและสะท้อนเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย 4. วัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่สนับสนุนการดำเนินกิจกรรม และ 5. นโยบายของคณะสงฆ์ที่กำหนดทิศทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3. รูปแบบการพัฒนาวัด มีลักษณะครอบคลุมในทุกมิติ ได้แก่ 1. การปกครองและการบริหารจัดการที่เน้นความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม 2. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยการประยุกต์ธรรมะให้เข้ากับวิถีชีวิตชาวตะวันตกและการใช้สื่อดิจิทัล 3. การศึกษาและการศึกษาสงเคราะห์ที่พัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้ 4. การสาธารณูปการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ 5. การสาธารณสงเคราะห์ผ่านกิจกรรมช่วยเหลือชุมชน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1370 การบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนิสิตระดับปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2025-07-17T15:50:00+07:00 พิชญะ แสงชาญชัย pichayamind@gmail.com สุริยา รักษาเมือง pichayamind@gmail.com อภิญญา ฉัตรช่อฟ้า pichayamind@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับศักยภาพของนิสิตปริญญาตรี 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับการพัฒนาศักยภาพของนิสิตปริญญาตรี และ 3. นำเสนอการบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนิสิตปริญญาตรีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 197 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามจำนวน 35 ข้อ ค่าความเชื่อมั่นในภาพรวมทั้งฉบับเท่ากับ 0.967 และการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน เพื่อยืนยันผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ใช้สำหรับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหพันธ์ วัดระดับความสัมพันธ์ของตัวแปร และใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน เพื่อทดสอบสมมติฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูล เชื่อมโยงกับกรอบแนวคิด ทฤษฎี พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลเป็นองค์ความรู้ที่ได้สังเคราะห์จาการวิจัยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.ระดับการพัฒนาศักยภาพของนิสิตปริญญาตรีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="สมการ" />=3.58) ตามลำดับค่าเฉลี่ยดังนี้ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการคิด และความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับการพัฒนาศักยภาพของนิสิตปริญญาตรีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับมาก (R=.922**) ตามลำดับดังนี้ ด้านวิริยะ ด้านฉันทะ ด้านจิตตะ และด้านวิมังสา 3. การบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของของนิสิตปริญญาตรี พบว่า 1. ด้านฉันทะ (ความพึงพอใจในงาน) 2. ด้านวิริยะ (ความขยันหมั่นเพียร) 3. ด้านจิตตะ (ความมีใจฝักใฝ่) 4. ด้านวิมังสา (การใช้ปัญญาหาเหตุผล) เมื่อนำมาบูรณาการจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งมีความสามารถทั้งหมด 5 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านความสามารถในการสื่อสาร 2. ด้านความสามารถในการคิด 3. ด้านความสามารถในการแก้ไขปัญหา 4. ด้านความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ด้านความสามารถในการใช้เทคโนโลยี</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1468 รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต: กรณีศึกษา พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) 2025-08-10T23:02:13+07:00 พระมหาศักดิ์สุรัตน์ อาภาธโร 6601211014@mcu.ac.th พระมหาไพฑูรย์ ปนฺตนนฺโท 6601211014@mcu.ac.th พระมหาวิเชียร สุธีโร 6601211014@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาชีวิตและผลงานของพระราชพรหมยาน 2. ศึกษารูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชพรหมยาน และ 3. ศึกษาผลของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชพรหมยาน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยสุ่มแบบเจาะจงตามลักษณะตัวแทนของกลุ่มที่เหมาะสมจำนวน 15 รูปหรือคน โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ชีวิตและผลงานของพระราชพรหมยานเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งสะท้อนผ่านงานภารกิจของคณะสงฆ์ทั้ง 6 ด้าน โดยมีการเผยแผ่เป็นหัวใจหลักที่ขับเคลื่อนภารกิจด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะการสอนกรรมฐานภาคปฏิบัติ (มโนมยิทธิ) ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ตรงของท่าน ทำให้ผู้คนสามารถพิสูจน์เรื่องกฎแห่งกรรมได้ด้วยตนเอง อันเป็นรากฐานสำคัญที่สร้างพลังศรัทธา 2. รูปแบบการเผยแผ่มีลักษณะเด่น คือ การเปลี่ยนจากการสอนเน้นความเชื่อมาเป็นการให้พิสูจน์ด้วยการฝึกปฏิบัติ (มโนมยิทธิ) การสื่อสารที่แยบคายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและการใช้อุบายธรรม เช่น วัตถุมงคลและพุทธศิลป์ เพื่อนำเข้าสู่การปฏิบัติ ทั้งยังใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคนั้นอย่างเทปบันทึกเสียงและวิทยุช่วยเผยแพร่คำสอนไปสู่สาธารณชน และ 3. ผลการเผยแผ่เกิดผลกระทบเชิงบวกใน 2 ระดับ คือ ระดับบุคคล ผู้ปฏิบัติเกิดความเชื่อในกฎแห่งกรรมจากการพิสูจน์ด้วยตนเอง เกิดหิริโอตตัปปะ สามารถปฏิบัติธรรมไปพร้อมกับวิถีชีวิตประจำวันได้ และระดับสังคม เกิดกระแสการปฏิบัติกรรมฐานอย่างกว้างขวาง สร้างสังคมการให้ การสงเคราะห์ ปลูกฝังความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ องค์ความรู้สำคัญ คือ รูปแบบการเผยแผ่ที่ยั่งยืนเกิดจากการที่ผู้เผยแผ่เป็นผู้รู้จริงจากการปฏิบัติและเป็นแบบอย่างที่ดีช่วยสร้างศรัทธา ความน่าเชื่อถือให้แก่พระพุทธศาสนาในโลกยุคปัจจุบัน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1452 แนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี 2025-08-07T00:13:51+07:00 พระครูวิโรจน์กาญจนเขต (นัทกฤต ทีปงฺกโร) 6401104008@mcu.ac.th พระมหาไพฑูรย์ ปนฺตนนฺโท 6401104008@mcu.ac.th พระครูสังฆกิจวิริยะ (ปราบศึก อุทโย) 6401104008@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพทั่วไปในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี 2. ศึกษาองค์ประกอบในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และ 3. เสนอแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากพระธรรมทูตในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Selection) ตามลักษณะการเป็นตัวแทนของกลุ่มที่เหมาะสม จำนวน 18 รูปหรือคน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการเผยแผ่ จุดแข็งคือ ความเข้าใจวัฒนธรรมและภาษาเกาหลี การประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล และเครือข่ายความร่วมมือ จุดอ่อนคือ ขาดแคลนทรัพยากร อุปสรรคด้านภาษา และบุคลากรไม่เพียงพอ โอกาสมาจากความสนใจสุขภาพจิตและสมาธิ ความสัมพันธ์ไทย-เกาหลี และเทคโนโลยีดิจิทัล อุปสรรคคือ การแข่งขันจากคริสต์ศาสนา และผลกระทบโควิด-19 2. องค์ประกอบตามอิทธิบาท 4 ฉันทะ ความพอใจในการศึกษาภาษาและเห็นผลลัพธ์ วิริยะ (ความเพียรศึกษาภาษาและปรับตัว จิตตะ การเอาใจใส่ผู้ฟังและประยุกต์หลักธรรม วิมังสา การตริตรองความต้องการและวางยุทธศาสตร์ 3. แนวทางที่มีประสิทธิภาพ พิจารณา 4 ด้าน ผู้ส่งสาร พัฒนาภาษาและความน่าเชื่อถือ สาร นำเสนอหลักธรรมเบื้องต้นและสอนสมาธิ ช่องทาง ใช้สื่อออนไลน์และจัดสัมมนา ผู้รับสาร แบ่งกลุ่มเป้าหมายชัดเจน โดยเฉพาะเยาวชน คนทำงาน และผู้สูงอายุ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1455 แนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต วัดพระธาตุดอยสุเทพ สหรัฐอเมริกา 2025-08-19T09:52:23+07:00 พระปลัดประจิรักษ์ มหาปญฺโญ (เมฆหมอก) prajirak.mak@mcu.ac.th พระครูสุตรัตนบัณฑิต (ประยูร โชติวโร) prajirak.mak@mcu.ac.th พระมหาไพฑูรย์ ปนฺตนนฺโท prajirak.mak@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพทั่วไปของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตวัด 2. ศึกษากระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูต 3. เสนอแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตวัดพระธาตุดอยสุเทพ สหรัฐอเมริกา ระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลภาคสนามจากผู้กำหนดนโยบาย กลุ่มเจ้าคณะผู้ปกครอง กลุ่มตัวแทนพระธรรมทูต กลุ่มตัวแทนกรรมการวัดพระธาตุดอยสุเทพ และกลุ่มตัวแทนประชาชนวัดพระธาตุดอยสุเทพ ด้วยการเลือกแบบเจาะจงตามลักษณะการเป็นตัวแทนของกลุ่มที่เหมาะสม จำนวน 20 รูปหรือคน ได้ใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ที่มีค่าดัชนีวัดความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ 1.00 เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพทั่วไปของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาพบว่า มีจุดแข็งคือการเผยแผ่ผ่านโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ความเข้าใจลึกซึ้งในวัฒนธรรมอเมริกัน และการปรับรูปแบบการสอนให้ทันสมัย จุดอ่อนคือข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณ ภาระงานมากเกินไปสำหรับจำนวนพระธรรมทูตที่มีจำกัด และความท้าทายในการเข้าถึงกลุ่มคนอเมริกันพื้นเมือง โอกาสคือการเติบโตของความสนใจพระพุทธศาสนาในสังคมอเมริกัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล และการเพิ่มขึ้นของชุมชนเอเชียในอเมริกา อุปสรรคคือความแตกต่างของภาษาและการสื่อสาร ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความเชื่อ และการแข่งขันกับศาสนาอื่น ๆ 2. กระบวนการในแนวทางการเผยแผ่ใช้ระบบการบริหารจัดการ PDCA ด้านการวางแผน การปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบ และการปรับปรุงแก้ไข 3. แนวทางการเผยแผ่ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ ด้านผู้ส่งสาร ด้านสาร และด้านช่องทางการสื่อสาร โดยเน้นการพัฒนาทักษะการสื่อสาร การใช้สื่อที่หลากหลาย และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเผยแผ่อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1508 เปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล : อนาคตการบริการภาครัฐของไทย 2025-09-01T22:59:14+07:00 อรพินทร์ พญาพิทักษ์สกุล 6701104234@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มุ่งสำรวจการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของภาครัฐไทยสู่ยุคดิจิทัล โดยเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน การเปลี่ยนผ่านนี้ได้สร้างโอกาสใหม่ในการพัฒนาบริการสาธารณะอย่างมหาศาล ผ่านการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และการประมวลผลแบบคลาวด์ ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความสะดวกในการเข้าถึงบริการสำหรับประชาชนได้อย่างทั่วถึง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในบริบทของไทยยังคงเผชิญกับ ความท้าทาย สำคัญหลายประการ ได้แก่ โครงสร้างระบบราชการที่ซับซ้อน ความล่าช้าในการปรับเปลี่ยนกฎหมาย ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีของประชาชน และการขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล บทความนี้วิเคราะห์ทั้งโอกาสและความท้าทายที่ภาครัฐต้องเผชิญ พร้อมนำเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จจากหน่วยงานภาครัฐในประเทศ และบทเรียนจากนโยบายดิจิทัลของต่างประเทศ การศึกษาเหล่านี้จะช่วยฉายภาพแนวทางการพัฒนาการบริการภาครัฐผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลในอนาคต เพื่อให้ภาครัฐสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และสร้างสรรค์คุณค่าที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทย</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1516 การบริหารความเสี่ยงในภาครัฐ : การเตรียมพร้อมต่อวิกฤต 2025-09-09T09:30:27+07:00 พระปราโมทย์ พุทฺธธมฺโม (แซ่ลี้) pramot00009@gmail.com <p>การบริหารความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมต่อวิกฤตเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ในการดำเนินงานของภาครัฐยุคปัจจุบัน เนื่องจากความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและภายนอกที่เพิ่มขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเทคโนโลยี ทำให้องค์กรภาครัฐต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังนั้นบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิด หลักการ กระบวนการ และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการบริหารความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมต่อวิกฤตในภาครัฐ ผลการศึกษาพบว่า ความเสี่ยงคือความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ในขณะที่การบริหารความเสี่ยงคือกระบวนการจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานจะบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ องค์กรภาครัฐเผชิญกับความเสี่ยงหลากหลายประเภท เช่น ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ การปฏิบัติงาน การเงิน ชื่อเสียง การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความเสี่ยงด้านไซเบอร์ กระบวนการบริหารความเสี่ยงประกอบด้วย การระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง การตอบสนองและจัดการความเสี่ยง การติดตามประเมินผลและการรายงานผล การทบทวนการบริหารความเสี่ยง และบทบาทของการสื่อสารที่เป็นหัวใจสำคัญในทุกขั้นตอน การเตรียมพร้อมต่อวิกฤตเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้รัฐบาลสามารถลดผลกระทบของวิกฤตและรับประกันการตอบสนองที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สำหรับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐประกอบด้วย การเสริมสร้างกรอบการบริหารความเสี่ยงแบบบูรณาการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กร การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ การส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงาน และการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การนำแนวปฏิบัติเหล่านี้ไปใช้อย่างจริงจังจะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ และรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในการส่งมอบบริการที่จำเป็นได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1601 กรอบแนวคิดเชิงพุทธธรรมสำหรับการบริหารจัดการอากาศสะอาดในสังคมไทย: มิติรัฐประศาสนศาสตร์และธรรมาภิบาล 2025-10-11T13:49:45+07:00 พระสมพร คุณสมฺปนฺโน (ผลงาม) somporn11082@gmail.com <p>มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน แม้มาตรการของรัฐมีอยู่ แต่ประสิทธิผลยังไม่บรรลุเป้าหมายเนื่องจากการขับเคลื่อนนโยบายและการมีส่วนร่วมของประชาชนยังมีข้อจำกัด บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอกรอบแนวคิดการบริหารจัดการอากาศสะอาดเชิงบูรณาการ โดยให้มิติรัฐประศาสนศาสตร์และหลักธรรมาภิบาลเป็นฐานหลัก และเสริมด้วยหลักพุทธธรรมในมิติคุณธรรมและจิตสำนึกสาธารณะ มิติรัฐประศาสนศาสตร์มุ่งเน้นกระบวนการนโยบายสาธารณะ 5 ขั้น ได้แก่ การกำหนดปัญหา การจัดวาระ การออกแบบ การปฏิบัติ และการประเมินผล ควบคู่กับหลักการบริหารเชิงผลสัมฤทธิ์และการมีส่วนร่วม ส่วนหลักธรรมาภิบาลเน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นรากฐานของการบริหารภาครัฐที่ดี เมื่อบูรณาการกับหลักพุทธธรรม ได้แก่ อริยสัจ 4 เพื่อวิเคราะห์สาเหตุเชิงโครงสร้าง และไตรสิกขา เพื่อพัฒนากรอบการกำกับ วินัย และปัญญาเชิงนโยบาย จะช่วยยกระดับคุณธรรมของผู้บริหารให้มีเหตุผลคู่คุณธรรม ผลการศึกษาชี้ว่า การบูรณาการทั้งสามมิตินี้ช่วยสร้างระบบบริหารจัดการอากาศสะอาดที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยั่งยืน โดยเน้นการบริหารที่มีจิตสำนึกเชิงพุทธ ความรับผิดชอบร่วม และการประเมินผลเชิงคุณธรรมควบคู่กับดัชนีคุณภาพอากาศ เพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณธรรมของผู้บริหารภาครัฐ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1506 พลิกโฉมท้องถิ่นไทย : พลเมืองกับรัฐประศาสนศาสตร์ 2025-09-09T09:29:30+07:00 ธนารัตน์ จิตต์พายัพ 6701104233@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้ศึกษาการ พลิกโฉมท้องถิ่นไทย ผ่านกระบวนการกระจายอำนาจและการบริหารท้องถิ่น โดยใช้แนวคิดการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ การกระจายอำนาจเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ทว่าในบริบทของประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทาย อาทิ ความไม่พร้อมของบุคลากร งบประมาณ และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงปัญหาการทุจริตและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่เต็มที่ แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์พลเมืองได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของ พลเมือง ในการกำหนดทิศทาง ตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ และเสริมสร้างศักยภาพของท้องถิ่นให้พึ่งพาตนเองได้ บทความนี้จะวิเคราะห์ว่าการประยุกต์ใช้แนวคิดดังกล่าวสามารถช่วยลดผลกระทบเชิงลบของการกระจายอำนาจ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่นได้อย่างไร พร้อมศึกษาบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเป็นกลไกขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของประชาชนและการสร้างธรรมาภิบาลที่ดี การศึกษานี้จะนำเสนอภาพรวมของการกระจายอำนาจและการบริหารท้องถิ่นในประเทศไทย ผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ และวิเคราะห์บทบาทของ พลเมืองกับการบริหารภาครัฐ ในการเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากต่อไป เพื่อสร้างการ พลิกโฉมท้องถิ่นไทย ที่ยั่งยืน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1391 การท่องเที่ยวในวัด : สมดุลระหว่างศรัทธาและเศรษฐกิจ 2025-07-17T16:00:28+07:00 ธนภัทร บัวพนัส pattama.industry@gmail.com ปัฐมา ภู่น้อย pattama.industry@gmail.com <p>วัดเป็นสถาบันทางศาสนาที่มีบทบาทสำคัญในสังคมไทย ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่ยังเป็นศูนย์กลางของชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในวัดนำมาซึ่งประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมเข้าชม การบริจาค และการจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบำรุงรักษาสถานที่และสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา การท่องเที่ยวที่ขาดการบริหารจัดการที่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบ เช่น ความแออัด การรบกวนบรรยากาศทางศาสนา และการเปลี่ยนแปลงเชิงพาณิชย์ของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ปัญหาเหล่านี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาคุณค่าทางศาสนาและการใช้ประโยชน์จากวัดในเชิงเศรษฐกิจ โดยแนวคิดเรื่อง “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” (Sustainable Tourism) ได้ถูกนำมาใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา แนวทางดังกล่าวเน้นการพัฒนาเชิงอนุรักษ์ที่ให้ความสำคัญต่อการลดผลกระทบด้านลบของการท่องเที่ยว ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และคำนึงถึงการรักษาอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของสถานที่ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาผลกระทบของการท่องเที่ยวที่มีต่อวัดในแง่มุมต่าง ๆ 2. วิเคราะห์แนวทางการจัดการที่สามารถช่วยลดผลกระทบด้านลบ และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน การศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบาย พระสงฆ์ หน่วยงานด้านการท่องเที่ยว และชุมชนท้องถิ่นในการหาแนวทางปฏิบัติที่สมดุลระหว่างการรักษาคุณค่าทางศาสนาและการสร้างรายได้เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของวัดและชุมชนโดยรอบ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1507 ยุทธศาสตร์ชาติในยุคดิจิทัล : ภาครัฐไทยกับการปรับตัว 2025-09-01T22:53:47+07:00 กฤตพงศ์ ปานผา 6701104242@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มุ่งวิเคราะห์ การปรับตัวของภาครัฐไทย เพื่อขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ชาติในยุคดิจิทัล โดยสำรวจแนวคิดการบริหารภาครัฐแนวใหม่ ซึ่งเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การบริหารราชการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้น แนวคิดการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ได้นำหลักการบริหารจัดการแบบภาคเอกชนมาประยุกต์ใช้ อาทิ การจัดการเชิงผลสัมฤทธิ์ การเน้นผลลัพธ์ และการลดขั้นตอนราชการ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินนโยบายระดับชาติ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน การยกระดับคุณภาพชีวิต และการสร้างระบบราชการที่ทันสมัย บทความนี้ยังวิเคราะห์ถึงศักยภาพและความท้าทายที่ภาครัฐไทยต้องเผชิญในการนำแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติที่สอดรับกับพลวัตของยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง การปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูประบบราชการอย่างต่อเนื่อง การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมียุทธศาสตร์ รวมถึงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเพื่อสร้างธรรมาภิบาล บทสรุปนำเสนอว่าปัจจัยเหล่านี้คือรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่ผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน และเป็นแนวทางสำหรับอนาคตการบริการภาครัฐของไทย ที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1515 การพัฒนาท้องถิ่น : นวัตกรรมและกลยุทธ์ใหม่ 2025-09-01T23:15:14+07:00 พระปราโมทย์ พุทฺธธมฺโม (แซ่ลี้) pramot00009@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ศึกษาเกี่ยวกับ “การพัฒนาท้องถิ่น : นวัตกรรมและกลยุทธ์ใหม่” ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาท้องถิ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความก้าวหน้าและความผาสุกในระดับจุลภาค โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถของพื้นที่เพื่อยกระดับอนาคตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย แนวทางที่ทันสมัยไม่เพียงแต่เน้นการสร้างงานและการแข่งขันทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งผ่านการมีส่วนร่วมทางสังคม ความเชื่อมโยง และความภาคภูมิใจในชุมชน ปัจจุบันการพัฒนาท้องถิ่นเผชิญความท้าทายจากบริบทที่ซับซ้อน เช่น การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ โลกาภิวัตน์ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งต้องการกลยุทธ์ที่ปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการพัฒนาท้องถิ่นประกอบด้วยการสร้างความร่วมมือและเครือข่ายระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนผ่านช่องทางที่หลากหลาย การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการตัดสินใจ การจัดการทรัพยากร และการสื่อสาร การบูรณาการแนวคิดความยั่งยืนและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างขีดความสามารถและทุนมนุษย์ในท้องถิ่น การนำเสนอแนวทางเหล่านี้มุ่งเน้นการพัฒนาท้องถิ่นให้สามารถรับมือกับความซับซ้อนและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุมสำหรับทุกคน ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยการพัฒนาท้องถิ่นผ่านการสร้างขีดความสามารถของพื้นที่เพื่อปรับปรุงอนาคตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย และการพัฒนาวิธีใหม่ ๆ อันเป็นนวัตกรรมท้องถิ่นในบริบทของท้องถิ่นเฉพาะ ซึ่งรวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยี สังคม นโยบายและองค์กรทางสังคมด้วย</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ