https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/issue/feed วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ 2025-01-01T00:00:00+07:00 พระครูสุธีกิตติบัณฑิต, รศ.ดร. krisada.sae@mcu.ac.th Open Journal Systems <p><strong><img src="https://so18.tci-thaijo.org/public/site/images/krisada/001-1447cc6dd353074809d937a61e946898.png" alt="" width="30" height="30" /><br />วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ</strong></p> <p><strong>E-ISSN</strong>: 3027-8643</p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : 4 ฉบับต่อปี <br />ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม <br />ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน <br />ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน<br />ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong></p> <p>วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงที่มีการประยุกต์พระพุทธศาสนากับศาสตร์ทางด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และการจัดการ การศึกษา และนิติศาสตร์</p> https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/589 การเรี่ยไร ระบบเปรียบเทียบของราชอาณาจักรไทยกับต่างประเทศ 2024-08-14T10:52:03+07:00 พระครูธรรมธรสฐาพร ปภสฺสโร samreungrachawang@gmail.com พระนรินทร์ โชติปาโล eak.mcu1@hotmail.com พระสมุห์ประจิรักษ์ มหาปญฺโญ eak.mcu1@hotmail.com <p>กฎหมายควบคุมการเรี่ยไรของราชอาณาจักรไทยได้บังคับใช้มาเป็นเวลานาน แต่ไม่เคยมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญ ทำให้ไม่สามารถควบคุมตรวจสอบการเรี่ยไรในปัจจุบันที่มักใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง และเกิดการเรี่ยไรเท็จขึ้นบ่อยครั้ง เดิมการเรี่ยไรมักมีวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยการขอรับเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดเพื่อไปทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสะพาน โรงเรียน บูรณะปฏิสังขรณ์ ขุดบ่อ แต่ต่อมา มีกลุ่มคนที่อาศัยความมีน้ำใจของผู้อื่น เพื่อจะหาประโยชน์ส่วนตัวจากการเรี่ยไร ด้วยการหลอกลวงหรือข่มขู่จนกลายเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง เกิดเป็นแนวคิดที่ว่ารัฐจะต้องดำเนินการควบคุมและตรวจสอบการเรี่ยไรโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช 2487 เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการเรี่ยไร มีบทบัญญัติทั้งสิ้น 21 มาตรา ซึ่งบังคับใช้มาเป็นเวลานานและไม่เคยมีการแก้ไข ปรับปรุง แม้จะมีการออกกฎกระทรวงหรือประกาศกระทรวงเพื่อกำหนดแนวทางในการบังคับใช้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็พบว่า การปฏิบัติตามหรือมีมาตรการลงโทษตามกฎหมายนี้เกิดขึ้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับการเรี่ยไรที่มีมากขึ้นตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เมื่อสามารถสื่อสารกันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น มนุษย์ก็จะใช้ช่องทางเหล่านั้นเพื่อทำการเรี่ยไร ซึ่งเมื่อกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงการเรี่ยไรทุกประเภท และขาดวิธีการตรวจสอบที่ชัดเจน ทำให้มาตรการตามกฎหมายไม่บรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการควบคุมการเรี่ยไรในสังคม</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/694 นโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ตามหลักวิถีพุทธ 2024-09-30T22:06:05+07:00 ธนภัทร บัวพนัส top__one@hotmail.com ปัฐมา ภู่น้อย top__one@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้นำเสนอการศึกษาในหัวข้อ “นโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ตามหลักวิถีพุทธ” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานในภาครัฐ โดยเน้นการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาเป็นกรอบในการกำหนดนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การนำหลักธรรมเข้ามาสอดแทรกในนโยบายการบริหารจะช่วยส่งเสริมความโปร่งใส ความเป็นธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานภาครัฐ โดยบทความแบ่งการนำเสนอออกเป็น 3 นโยบายหลัก ได้แก่ 1. นโยบายด้านการครองตน มุ่งเน้นให้บุคลากรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และไม่ใช้ตำแหน่งในทางมิชอบ ซึ่งสอดคล้องกับหลักสุจริต 3 ประการ ได้แก่ กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต 2. นโยบายด้านการครองคน เน้นการดูแลและปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความเมตตา ความเป็นธรรม และความอ่อนโยน โดยใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน (การให้) ปิยวาจา (การพูดจาไพเราะ) อัตถจริยา (การช่วยเหลือผู้อื่น) และสมานัตตตา (การปฏิบัติตนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย) ซึ่งช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างประชาชนกับบุคลากรภาครัฐ 3. นโยบายด้านการครองงานมุ่งส่งเสริมให้บุคลากรดำเนินงานด้วยความขยันขันแข็ง มีเป้าหมายที่ชัดเจน และยึดมั่นในจริยธรรม โดยใช้หลักอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ (ความรักในงาน) วิริยะ (ความพยายาม) จิตตะ (การใส่ใจในงาน) และวิมังสา (การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา) การประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้จะช่วยให้การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐเกิดความยั่งยืนและโปร่งใสต่อสาธารณชน นอกจากนี้ แนวทางดังกล่าวยังส่งเสริมให้บุคลากรเกิดการพัฒนาตนเองควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กร ซึ่งช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อสังคมและประชาชนในระยะยาว</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/704 ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย: ศึกษากรณีการพัฒนาทิศทางประชาธิปไตยในอนาคตตามแนวพุทธ 2024-09-30T22:10:21+07:00 ปลื้มจิต ลาภอุดมเลิศ kupoo.2517@gmail.com ปาริชาติ ชุมพงศ์ kupoo.2517@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยเน้นการศึกษากรณีการพัฒนาทิศทางประชาธิปไตยในอนาคตตามแนวพุทธศาสตร์ ปัญหาหลักที่ต้องศึกษาเกี่ยวข้องกับการขาดความเข้าใจและปฏิบัติที่ถูกต้องของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบของพลเมือง การเคารพสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงการร่วมมือในสังคมอย่างสันติสุข ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน การศึกษานี้ใช้หลักการและหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางสำคัญในการวิเคราะห์ เช่น หลักศีลธรรม ความอดทน ความเคารพต่อผู้อื่น และการปฏิบัติที่ถูกต้องในฐานะพลเมือง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย โดยเฉพาะการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การเคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาสังคมที่เป็นธรรม และความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม ผลการวิเคราะห์ที่ได้จากการศึกษามี 12 ประการ เช่น การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและแสดงความคิดเห็น การเป็นพลเมืองดิจิทัล การรับผิดชอบต่อสังคม การเคารพเสียงข้างมากและสิทธิเสียงข้างน้อย และการเสริมสร้างศักยภาพทางการศึกษา ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อให้พลเมืองสามารถปกครองตนเองและมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษานี้ คือ การนำเสนอแนวทางการพัฒนาพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับหลักพุทธธรรม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการปกครองที่มีความยุติธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมประชาธิปไตย</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/695 กลยุทธ์การพัฒนาการบริหารจัดการสำนักปฏิบัติธรรมของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) 2024-10-17T23:44:42+07:00 พระนรินทร์ โชติปาโล lpja2552@gmail.com <p>บทความนี้เป็นการศึกษากลยุทธ์การพัฒนาการบริหารจัดการสำนักปฏิบัติธรรมของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อดีตเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมแห่งที่ 1 จังหวัดสิงห์บุรี การศึกษาใช้วิธีค้นคว้าจากเอกสาร งานวิจัยและการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ผลการศึกษาพบว่า ความสำเร็จในการวางกลยุทธ์การพัฒนาการบริหารจัดการสำนักปฏิบัติธรรมของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) พระมหาเถระผู้เป็นนักปฏิบัติ นักพัฒนา เป็นแบบอย่างที่ดี อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาและบำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองตลอดชีวิต พัฒนาวัดและพัฒนาคน ด้วยการฝึกอบรมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแก่พุทธศาสนิกชนที่สนใจทุกเพศทุกวัย มีการวางกลยุทธ์ในการพัฒนาบริหารจัดการสำนักปฏิบัติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจนคือ”ปลุกคนให้ตื่น เสกคนให้เป็นงาน”เพราะการปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกพัฒนาจิตให้อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็นและสร้างแผนยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับการพัฒนาวัดให้สัปปายะเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรมของสาธุชน เลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยให้เหมาะสม รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการพัฒนา ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงพ่อได้ขจรขจายไปทั่วสารทิศมีผู้คนทั้งในและต่างประเทศสนใจมาปฏิบัติธรรมกันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายทั้งปี</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/703 การจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : วิเคราะห์ในเชิงปรัชญาทางการเมือง 2024-10-12T16:53:09+07:00 ปาริชาติ ชุมพงศ์ Parichat_chu@nstru.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดบริการสาธารณะ ที่เป็นภารกิจสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายหลักในการศึกษา คือ การให้บริการที่ครอบคลุม และมีคุณภาพตามความต้องการของประชาชนหรือไม่ ซึ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจได้กำหนดขอบเขตและประเภทของบริการที่ท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม รูปแบบการจัดบริการในปัจจุบันยังคงเน้นการดำเนินการโดยท้องถิ่นเอง ซึ่งมีข้อจำกัดในด้านการร่วมมือกับภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคเอกชนหรือกิจการพาณิชย์ นอกจากนี้ยังขาดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เพื่อยกระดับบริการสาธารณะในอนาคต ท้องถิ่นต้องปรับเปลี่ยนการจัดบริการให้มีความหลากหลายและเหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่นมากขึ้น การนำทฤษฎีการมีส่วนร่วมของโคเฮนและอัฟฮอฟฟ์เข้ามาเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและเอกชนในการจัดทำบริการสาธารณะ จากการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมเป็นแนวคิดสำคัญในปรัชญาทางการเมืองสมัยใหม่ โดยเน้นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางลงสู่ท้องถิ่น เพื่อให้การบริหารจัดการตอบสนองความต้องการของประชาชนในระดับที่ใกล้ชิดโดยทำให้การจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/674 การสื่อสารทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในยุค Ai 2024-09-27T14:02:59+07:00 ปลื้มจิต ลาภอุดมเลิศ samreungrachawang@gmail.com ปาริชาติ ชุมพงศ์ kupoo.2517@gmail.com อภิญญา ฉัตรช่อฟ้า kupoo.2517@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งเน้นศึกษาการสื่อสารทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในยุค AI โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อวิเคราะห์รูปแบบและวิธีการสื่อสารที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ในการใช้คำพูด การเขียน กิริยาท่าทาง และการแสดงออก เพื่อการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความคิดเห็น และกิจกรรมทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารเหล่านี้มุ่งหวังให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างนักการเมืองท้องถิ่นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ บทความยังเน้นการนำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานบนโครงข่าย Social Network โดยระบบ AI ถูกนำมาใช้ในการกลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารเพื่อให้เกิดความแม่นยำ AI ยังถูกนำไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น แชทบอทที่ตอบข้อความอัตโนมัติ สื่อมัลติมิเดีย และสื่อโซเชียล เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรม ผลงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของนักการเมือง การใช้ AI ในลักษณะนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการสื่อสาร พร้อมทั้งสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายการสื่อสารได้อย่างแม่นยำตามวัตถุประสงค์</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/640 พุทธจริยธรรมกับการนำนโยบายไปปฏิบัติ 2024-09-05T13:01:47+07:00 นิชนันท์ บุญโข nichanunboonkho@gmail.com อรอนงค์ แจ้งพงศ์พันธ์ nichanunboonkho@yahoo.com พระมหาบรรพต กิตฺติปญฺโญ (กันหา) nichanunboonkho@yahoo.com <p>บทความนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ “พุทธจริยธรรมกับการนำนโยบายไปปฏิบัติ” การนำนโยบายลงไปสู่การปฏิบัติหรือการถ่ายทอดนโยบายสู่การปฏิบัติ เป็นการนำสิ่งที่ได้กำหนดไว้ในการทำงานของภาครัฐไปปฏิบัติให้เกิดมรรคผลกับประชาชน และในปัจจุบันรัฐบาลกำหนดนโยบายให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนจากภายใน ทั้งจากกรอบกฎหมายและกรอบนโยบายที่ทำให้หน่วยงานภาครัฐต้องยกระดับคุณภาพการให้บริการไปสู่รัฐบาลดิจิทัลแล้ว แรงกดดันและความท้าทายจากภายนอกยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งการพัฒนาให้เร็วขึ้น และทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปปฏิบัติทั้งในระดับมหภาคและระดับจุลภาค ทุกหน่วยงานตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี กระทรวง กรม จนถึงประชาชน ต้องมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติให้เห็นผล และต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต อันประกอบด้วย กายสุจริต ความประพฤติชอบด้วยกาย วจีสุจริต ความประพฤติชอบด้วยวาจา และ มโนสุจริต ความประพฤติชอบด้วยใจ ต้องปฏิบัติตนเป็นผู้ที่ทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เห็นแก่ประโยชน์อันมิชอบหรืออันมิควรได้หรือแสวงผลประโยชน์ส่วนตนจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยอาจใช้อิทธิพล อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อให้เกิดประโยชน์ส่วนตนและส่งผลเสียต่อหน่วยงานซี่งเรียกว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ ต้องรักษาผลประโยชน์ของทางการในการบริหาร และการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพและอย่างประหยัด การรักษาทรัพย์สินของทางราชการให้อยู่ในสภาพที่ดีและให้เกิดประโยชน์สูงสุด รักษาความถูกต้องความชอบธรรม ต้องยึดหลักความถูกต้อง ชอบธรรมตามหลักธรรมาภิบาล ในการปฏิบัติตนและการปฏิบัติหน้าที่ทั้งปวง</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/707 การสื่อสารการเมืองตามกรอบจริยธรรมเชิงพุทธ 2024-09-30T22:12:43+07:00 พระมหาฉัตรชัย ปญฺญาวฑฺฒโน (พลศรี) chatchaiponsri@gmail.com <p>บทความวิชาการเรื่อง “การสื่อสารการเมืองตามกรอบจริยธรรมเชิงพุทธ” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการสื่อสารทางการเมืองที่มีจริยธรรม โดยใช้การศึกษาจากเอกสาร ตำรา งานวิจัย ผลการศึกษาพบว่า การประยุกต์ใช้กรอบจริยธรรมเชิงพุทธในการสื่อสารทางการเมือง โดยนำเสนอใน 2 ส่วน คือ 1. ผู้ส่งสารคือองค์กรทางการเมืองมีมรรควิธีในการสื่อสาร ได้แก่การสื่อสารที่โปร่งใสเพื่อสร้างความไว้วางใจ การใช้ภาษาที่ไพเราะและสุภาพเพื่อลดความตึงเครียดและสร้างความเคารพ การนำเสนอข้อมูลที่มีประโยชน์เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ การแสดงความปรารถนาดีและความจริงใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และ การเลือกเวลาและสถานที่เหมาะสมเพื่อความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล และ 2. ผู้รับสารคือประชาชน ควรใช้หลักอินทรียสังวรในการรับข้อมูลโดยการมีสติสัมปชัญญะและปัญญาในการประเมินข้อมูลอย่างละเอียดและรอบคอบ ดังนั้น การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะส่งผลให้การสื่อสารทางการเมืองมีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรทางการเมืองและประชาชน</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/701 การสื่อสารทางการเมืองตามหลักพุทธธรรม ของพุทธทาสภิกขุ 2024-11-01T09:59:03+07:00 พระมหาธนวัฒน์ ปริยตฺติเมธี Thanawat25252538@gmail.com พระครูพิศาลพัฒนานุกิจ (สุจินต์ นันตมาศ) Thanawat25252538@gmail.com อภิญญา ฉัตรช่อฟ้า Thanawat25252538@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การสื่อสารทางการเมืองตามหลักพุทธธรรมของพุทธทาสภิกขุ โดยกล่าวถึงการสื่อสารทางการเมือง การใช้พุทธธรรมในทางการเมือง และการสื่อสารทางการเมืองตามหลักพุทธธรรม พุทธทาสภิกขุในฐานะผู้ส่งสารนับเป็นพระสงฆ์ที่มีบทบาทสำคัญที่ใช้หลักพุทธธรรมในทางการเมือง โดยประยุกต์หรือนำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและจิตใจของมนุษย์ ผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ เช่น การเทศนาผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งที่วัด โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งท่านได้ให้ความสำคัญกับศีลธรรมว่าเป็นสิ่งที่คุ้มครองรักษาความสงบสุขให้แก่สังคม และนำพามนุษย์ผ่านพ้นวิกฤตทางการเมืองไปได้ แนวทางการสื่อสารทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ ไม่ได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าในขณะช่วงเวลานั้น ระบอบการเมืองแบบใดที่ดีที่สุด และเหมาะสมต่อสังคมไทย หากแต่ท่านได้ให้หลักการกว้าง ๆ ไว้ว่า การเมืองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ซึ่งต้องการให้มนุษย์ให้ความสำคัญกับธรรมะ นั่นคือศีลธรรม หากทุกคนมีศีลธรรมในการดำเนินชีวิตแล้ว ระบบการเมืองแบบใดก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งสิ้น ซึ่งหลักธรรมที่สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว ได้แก่ 1. ทศพิธราชธรรม (ธรรมของนักปกครอง) 2. อปริหานิยธรรม 7 (ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม) 3. พรหมวิหาร 4 (ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ) 4. สาราณียธรรม 6 (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง) 5. ธัมมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่) และ 6. ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4 (ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน) การสื่อสารทางการเมืองตามหลักพุทธธรรมของพุทธทาสภิกขุ จึงเป็นกรอบแนวทางในการใช้พุทธธรรมนำการเมือง หรือการพัฒนาสังคมบนฐานพุทธธรรม สารที่ท่านสื่อจึงสามารถนํามาปรับใช้กับบริบทสังคมปัจจุบันได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับทัศนคติและโลกทัศน์ของผู้รับสารว่าจะประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคมส่วนรวมต่อไป</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/645 พยาบาลยุคดิจิทัล (สวยรวยสุข) กับการบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมการทำงานอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน 2024-09-05T12:59:46+07:00 อัญชลี แสงชาญชัย angie7052@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับพยาบาลวิชาชีพในยุคดิจิทัลที่จำเป็นจะต้องมีการปรับตัว ไม่หยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพตนเอง รวมทั้งพัฒนาทักษะต่าง ๆ ให้ทันกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนจึงได้รวบรวมข้อเสนอแนะจากนักวิชาการรวมทั้งนำเสนอความคิดเห็นของผู้เขียนในมุมมองด้านรัฐประศาสนศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์ กับการบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรม หรือ อิทธิบาท 4 ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จมี 4 ประการ คือ 1. ฉันทะ ทำในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำอย่างมีเป้าหมาย 2. วิริยะ ความเพียรพยายาม 3. จิตตะ ความใส่ใจจดจ่อให้งานสำเร็จ และ 4. วิมังสา ความไตร่ตรองโดยใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผล ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้มีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับปัญหาและเอาชนะกับอุปสรรคต่าง ๆ ช่วยให้ทำงานอย่างมีคุณค่า มีความสุขทุกวัน และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/693 การบูรณาการกุญแจแห่งปัญญาของสถาบันพลังจิตธรรมะจักรวาล (PDJ Institute)กับนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ : แนวทางการส่งเสริมทักษะและสุขภาวะผู้สูงอายุผ่านหลักภาวนา 4 2024-09-27T14:20:18+07:00 ฐิวรา โรจนสกุลเกตุ phoung_angle@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาการบูรณาการกุญแจแห่งปัญญาของสถาบันพลังจิตธรรมะจักรวาล เพื่อเสริมสร้างทักษะและสุขภาวะแบบองค์รวมของผู้สูงอายุที่ครอบคลุมและยั่งยืนโดยผ่านหลักภาวนา 4 โดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ตำรา บทความและข้อมูลจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสื่อออนไลน์ในประเด็นแนวทางการส่งเสริมทักษะและสุขภาวะของผู้สูงอายุ ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า การใช้แนวคิดหลักการกุญแจแห่งปัญญาของสถาบันพลังจิตธรรมะจักรวาลและหลักภาวนา 4 สามารถเป็นแนวทางในการเสริมสร้างทักษะและสุขภาวะที่ดีเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 4 ด้านได้แก่ 1. ด้านสังคม(กายภาวนา) ส่งเสริมการเรียนรู้การดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยการเสริมทักษะการปรับตัว ทักษะการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและทักษะการสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข 2.ด้านอารมณ์(ศีลภาวนา) ส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างผู้สูงอายุ ครอบครัวและชุมชน ด้วยการเสริมทักษะการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์และทักษะการควบคุมอารมณ์ 3.ด้านจิตใจ (จิตตภาวนา) ส่งเสริมการพัฒนาจิตใจและการฝึกสมาธิเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตใจ ด้วยทักษะการจัดการความเครียด 4. ด้านปัญญา(ภาวนาปัญญา) ส่งเสริมการพัฒนาด้านปัญญาด้วยทักษะการวางแผนและทักษะการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/705 การจัดการทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักพุทธธรรม 2024-09-30T22:11:00+07:00 ยศ ธนารักษ์โชค yosthanarak@outlook.co.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักพุทธธรรม โดยศึกษาแนวทางการจัดการทรัพยากรมนุษย์ตามกระบวนการ 6 ประการ คือ การวางแผน การสรรหาและการคัดเลือก การธำรงรักษา การประเมินผล การพัฒนาและฝึกอบรม และการให้พ้นจากงาน โดยบูรณาการกับหลักสังคหวัตถุ 4 คือ ทาน การให้ ปิยวาจา การพูดจาไพเราะ อัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์ และสมานัตตตา การวางตนเสมอ การที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในลักษณะการบูรณาการเพื่อจัดการทรัพยากรมนุษย์จะส่งผลให้ได้บุคลากรที่ตรงตามภาระงานมีความรู้ความสามารถสูงสุดง่ายต่อการพัฒนาศักยภาพ ง่ายต่อการควบคุมดูแล ส่งผลให้องค์กรสามรถใช้ศักยภาพสูดสุดของบุคลากรปฏิบัติงานให้กับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/662 อิทธิบาท 4 กับการพัฒนาการปกครองท้องถิ่น: แนวทางสู่ความสุขร่วมกัน 2024-09-11T11:08:09+07:00 ปลื้มจิต ลาภอุดมเลิศ samreungrachawang@gmail.com <p>บทความนี้เป็นบทความวิเคราะห์เชิงวิชาการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนาในการพัฒนาการปกครองท้องถิ่น โดยผู้เขียนมุ่งสำรวจว่า การใช้หลักอิทธิบาท 4 ได้แก่ ฉันทะ (ความพึงพอใจ) วิริยะ (ความพากเพียร) จิตตะ (ความตั้งใจ) และวิมังสา (การไตร่ตรอง) สามารถช่วยสร้างแนวทางการปกครองที่ส่งเสริมความสุขร่วมกันและความเจริญของชุมชนได้อย่างไร ขอบเขตของการศึกษาเน้นไปที่บทบาทของผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในการนำหลักธรรมเหล่านี้มาใช้ผลการศึกษาพบว่า ฉันทะช่วยสร้างแรงจูงใจและความมุ่งมั่นในการพัฒนาท้องถิ่น ผู้นำและประชาชนที่มีฉันทะจะมีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม วิริยะสนับสนุนความพากเพียรในการทำงานและการขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง จิตตะช่วยให้ผู้นำมีความมั่นคงในการตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นธรรม และวิมังสาเสริมสร้างระบบการประเมินและปรับปรุงการบริหารท้องถิ่น การนำหลักธรรมเหล่านี้มาปรับใช้จึงช่วยให้การพัฒนาท้องถิ่นมีความยั่งยืนและเกิดความสุขร่วมกันในระยะยาว</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/437 การศึกษาผลกระทบต่อศรัทธาและแนวทางการป้องกันพระภิกษุผู้กระทำความผิดพระธรรมวินัย ในปัจจุบัน 2024-06-27T00:07:18+07:00 พระครูกาญจนกิจโสภณ (ทนากร วรญาโณ) nuttakrit.pat@mcu.ac.th พระครูวิโรจน์กาญจนเขต (นัทกฤต ทีปังกโร) nuttakrit.pat@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษา การศึกษาผลกระทบต่อศรัทธาและแนวทางการป้องกันพระภิกษุผู้กระทำความผิดพระธรรมวินัย ในปัจจุบัน ผลจากการศึกษาพบว่า ผลกระทบที่ทำให้เกิดขึ้นในพุทธศาสนาคือ วิกฤตการณ์ศรัทธา ซึ่งทำให้พระสงฆ์มีความตื่นตัวเรื่องการศึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมวินัยหรือการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้มีความรู้ที่รอบคอบทันสมัยและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้เพราะปัญหาที่เป็นเกี่ยวกับพระวินัยนั้นอาศัยความรู้ความเข้าใจและต้องศึกษาอย่างละเอียดมีความรู้อย่างเดียวไม่พอจำเป็นต้องปฏิบัติตนให้เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนเพราะสำคัญของโลกปัจจุบันนี้ต้องการหลักธรรมไปบูรณาการกับหลักสมัยใหม่เพื่อพัฒนาสังคมและจิตใจ ซึ่งการบัญญัติสิกขาบทหรือศีลที่ว่าด้วยเรื่องเพศหรือเรื่องความผิดนั้นวัตถุประสงค์ในการวางศีลข้อนี้ไว้เพื่อความแตกต่างจากฆราวาสและให้พระภิกษุห่างไกลจากเรื่องของกามกิเลสซึ่งเป็นเรื่องแรกของผู้บวช และแนวทางในการป้องกันในการที่ไปสู่กระทำความ เจ้าอาวาสหรือผู้ปกรองคณะสงฆ์ต้องคอยสอดส่องพระภิกษุ สามเณรผู้อาศัยอยู่ในวัดให้อยู่ในธรรมวินัยและอยู่ในกฎระเบียบของวัด ให้ศึกษาเล่าเรียนประชาชนจำเป็นต้องทำความเข้าใจในเรื่องของหลักธรรมคำสอนผ่านพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณถือว่าเป็นทางแนวทางในการป้องกัน ส่วนการรักษาศรัทธาของประชาชนนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัดนั้น ๆ ว่าจะมีจุดเด่นจุดแข็งในด้านใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา หรือด้าน การสาธารณสงเคราะห์ รวมไปถึงด้านการเผยแผ่ ให้ประชาชนได้รู้จักและเข้าใจคำสอนทางพุทธศาสนาจึงจะสามารถทำให้พุทธศาสนามั่นคงและทำให้พุทธศาสนามีองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนสามารถตอบโจทย์สังคมเศรษฐกิจบ้านเมืองและสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนในเรื่องของจิตใจได้</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/547 การสื่อสารทางการเมืองตามหลักพระพุทธศาสนา 2024-10-17T23:18:38+07:00 พระใบฎีกาพงษ์ศักดิ์ ขนฺติพโล (รอดทะยอย) phongsak.rod@mcu.ac.th <p>การสื่อสารทางการเมืองตามหลักพระพุทธศาสนา หลักการสำคัญ ความซื่อสัตย์ พูดความจริง ไม่โกหก ไม่หลอกลวง ความสุภาพ ใช้ภาษาที่สุภาพ อ่อนโยน ไม่ใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง ความเมตตา ปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ใส่ร้ายป้ายสี ไม่สร้างความแตกแยก ความกรุณา เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ปัญญา คิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ไตร่ตรองก่อนพูด ความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ให้โอกาสทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น ความสำคัญ สร้างสันติสุข ความสามัคคี จำเป็นต้องมีการศึกษาและอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการทางพระพุทธศาสนา แนวคิดการสื่อสารที่ดีต่อกันโยงเชื่อมสัมพันธ์กันของตนในสังคม ซึ่งประกอบด้วย ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา ดังนั้นหลักสังคหวัตถุ 4 จึงนำมาใช้เพื่อบูรณาการในการสื่อสารทางการเมือง จึงเป็นและการทำตัวให้เป็นเกลอ หรือเป็นเพื่อนมากกว่าที่จะเป็นนายหรือเรียกว่าความงดงามในความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสื่อสารทางการเมืองแบบเมตตา การสื่อสารทางการเมืองแบบสร้างสรรค์ การสื่อสารทางการเมืองตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การสร้างสังคมที่สงบสุข</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ