วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ
<p><strong><img src="https://so18.tci-thaijo.org/public/site/images/krisada/001-1447cc6dd353074809d937a61e946898.png" alt="" width="30" height="30" /><br />วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ</strong></p> <p><strong>E-ISSN</strong>: 3027-8643</p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : 4 ฉบับต่อปี <br />ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม <br />ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน <br />ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน<br />ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ :</strong></p> <p>วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงที่มีการประยุกต์พระพุทธศาสนากับศาสตร์ทางด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และการจัดการ การศึกษา และนิติศาสตร์</p>
หลักสูตรบัณฑิตศึกษา ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
th-TH
วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
3027-8643
-
การบริหารมหาวิทยาลัยในยุค AI: ความท้าทายและการปรับตัว
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1101
<p>การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่งผลให้มหาวิทยาลัยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการบริหารจัดการทุกมิติ บทความนี้มุ่งนำเสนอความท้าทายในการบริหารมหาวิทยาลัยและแนวทางการปรับตัวในยุค AI โดยวิเคราะห์ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การจัดการศึกษา การบริหารจัดการ และการพัฒนาบุคลากร ผลการศึกษาพบว่า มหาวิทยาลัยต้องเผชิญความท้าทายสำคัญในการปรับหลักสูตรและรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การบริหารจัดการทรัพยากร และการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัล แนวทางการปรับตัวที่สำคัญประกอบด้วย การปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น การนำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การพัฒนาระบบการจัดการข้อมูล การปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัย การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบผสมผสาน และการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ความสำเร็จในการปรับตัวต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของผู้บริหาร การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ รวมถึงการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยที่สามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำทางวิชาการและสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืนในยุค AI</p>
พระมหาภราดร ภูริสฺสโร (สุวรรณรัตน์)
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
115
123
-
การบริหารภาครัฐแบบยืดหยุ่น ปรับตัวอย่างไรให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1098
<p>การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สังคม และเศรษฐกิจที่รวดเร็วในยุคปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการบริหารจัดการภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้หน่วยงานภาครัฐเผชิญกับความท้าทายในการตอบสนองความต้องการของประชาชนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอย่างทันท่วงที แนวคิดการบริหารภาครัฐแบบยืดหยุ่น (Agile Public Administration) จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแนวทางสำคัญในการปรับโครงสร้างและกระบวนการทำงานให้มีความคล่องตัว กระชับ และส่งมอบคุณค่าแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลักและแนวทางการประยุกต์ใช้ Agile ในภาครัฐ โดยเน้นถึงความสำคัญของโครงสร้างองค์กร การทำงานแบบข้ามสายงาน (Cross-Functional Teams) วัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างต่อการลองผิดลองถูก ตลอดจนการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับการทำงานรูปแบบใหม่ ผลการศึกษาสะท้อนว่าปัจจัยที่ส่งเสริมให้ภาครัฐสามารถปรับตัวสู่ความเป็น Agile ได้อย่างยั่งยืน ได้แก่ ผู้นำที่เข้าใจและสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว การมีเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง</p>
บงกช บวรฤกษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
124
135
-
แนวทางการพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสของ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบเทศบาล
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1105
<p>รูปแบบการปกครองท้องถิ่นในประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับเทศบาลซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด การบริหารงานของเทศบาลจำเป็นต้องยึดหลักความโปร่งใสและความสุจริต เพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมและความเชื่อมั่นในระบบราชการ ความโปร่งใสจึงเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานภาครัฐ ซึ่งต้องอาศัยการเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา และมีระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพจากทั้งภายในองค์กรและภาคประชาชนควบคู่กัน หน่วยงานท้องถิ่นยังต้องตอบสนองต่อความคาดหวังของสังคมในการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์แนวทางในการพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสของหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบเทศบาล โดยมีประเด็นการศึกษา 5 ด้าน ได้แก่ 1. การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารขององค์กรภาครัฐ 2. กระบวนการตรวจสอบจากทั้งภายในและภายนอก 3. มาตรการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในระดับเทศบาล 4. มาตรการต่อต้านการทุจริตของเทศบาลในต่างประเทศ ผลจากการศึกษา พบว่า 1. การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารขององค์กรภาครัฐตามหลัก “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความโปร่งใสของเทศบาล แต่ยังขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้บริหารและการบังคับใช้ระเบียบภายใน 2. กระบวนการตรวจสอบจากทั้งภายในและภายนอกช่วยสร้างความโปร่งใสอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามและตรวจสอบ 3. มาตรการป้องกันการทุจริตต้องควบคู่ทั้งการปลูกฝังจิตสำนึกและการควบคุมผ่านเทคโนโลยี รวมถึงการเปิดช่องทางร้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4. มาตรการต่อต้านการทุจริตของเทศบาลในต่างประเทศที่เน้นการบังคับใช้กฎหมาย การมีองค์กรอิสระ และภาคประชาสังคม</p>
ธนภัทร บัวพนัส
ปัฐมา ภู่น้อย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
136
148
-
แนวทางการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1102
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและแนวทางการบริหารภาครัฐสมัยใหม่ที่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคดิจิทัล และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการบูรณาการแนวคิดการบริหารภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management: NPM) การบริหารภาครัฐยุคดิจิทัล (Digital Governance) และหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เข้าด้วยกันอย่างสมดุล บทความนำเสนอแนวทางการบริหารที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บิ๊กดาต้า (Big Data) และบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน ตลอดจนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และระบบราชการดิจิทัล (E-Government) เพื่อลดความซับซ้อนและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ บทความยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ภาครัฐต้องเผชิญ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการปรับตัวของข้าราชการ บทสรุปของบทความเสนอให้ภาครัฐออกแบบนโยบายที่เน้นการใช้เทคโนโลยีควบคู่กับหลักธรรมาภิบาลอย่างมีดุลยภาพ เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนอย่างแท้จริง</p>
กัณฑ์ชิสา เจริญกิจธินันภ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
149
159
-
กุญแจเก้าดอก : นโยบายสาธารณะท้องถิ่น ความเป็นเลิศ สู่เวทีโลก
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/353
<p>บทความนี้ มุ่งศึกษาและสำรวจความสำเร็จของเทศบาลเมืองหัวหิน ในการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองน่าอยู่และยั่งยืนระดับโลก ตั้งแต่ขั้นตอนการกำเนิดนโยบายสาธารณะ การนำนโยบายสู่การปฏิบัติ และผลสำเร็จที่ได้จากการดำเนินตามนโยบาย วิเคราะห์ผ่านหลักการกุญแจเก้าดอกของสถาบันพลังจิต ธรรมะ จักรวาล ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนามนุษย์และสังคม นโยบายสาธารณะของเทศบาลเมืองหัวหิน สู่การเป็นเมืองน่าอยู่และเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน มีความมุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมเมืองหัวหินสู่เมืองแห่งความสุข เมืองแห่งการเรียนรู้ เป็นต้นแบบของประเทศซึ่งนอกจากประสบความสำเร็จระดับประเทศแล้ว ยังก้าวเข้าสู่ในระดับนานาชาติ ด้วยการมุ่งสู่ความเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ และได้เข้าร่วมงานในเวทีโลก การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (Cop 28) ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากความมุ่งมั่น และการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การกำหนดแนวทางในการบรรลุบนพื้นฐานข้อมูลที่รอบด้านอย่างเป็นระบบ การดำเนินนโยบาย 8 ด้าน รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดทิศทางของเมือง เมืองหัวหินได้รับรางวัลและคำชมเชยมากมาย ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาสาธารณะเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน การวางแผนยุทธศาสตร์เมืองมุ่งสู่เป้าหมายการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมือง สำหรับคนทุกกลุ่มวัยในสังคม เมืองมีสิ่งแวดล้อมดี เศรษฐกิจเติบโต ระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการมีคุณภาพทั่วถึง มีการพัฒนาที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ความหลากหลาย และศักยภาพของเมือง บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม โดยใช้เครื่องมือการประเมินเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ Sustainnable Development Goals : SDGs</p>
ธีระพันธ์ จัดพล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
160
172
-
รัฐประศาสนศาสตร์ยุคใหม่กับการบริหารงานในยุคดิจิทัล
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1514
<p>บทความวิชาการนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ “รัฐประศาสนศาสตร์ยุคใหม่กับการบริหารงานในยุคดิจิทัล” ด้วยในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้ทำให้รัฐประศาสนศาสตร์ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสของเทคโนโลยี เพื่อให้การบริการประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ เช่น การใช้บิ๊กดาต้า ปัญญาประดิษฐ์ และบล็อกเชน ช่วยให้ภาครัฐสามารถวางแผนและจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญเช่นกัน อาทิ ความปลอดภัยของข้อมูลและการพัฒนาทักษะบุคลากร การบริหารงานในยุคดิจิทัลต้องการการปรับตัวอย่างรวดเร็วและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการประชาชน รัฐประศาสนศาสตร์ยุคใหม่จึงต้องมีการพัฒนานโยบายและกระบวนการที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ยังสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานของรัฐได้อย่างเป็นรูปธรรม ในอนาคตการบริหารงานภาครัฐจะยังคงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการวางแผนที่มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในระบบการบริหารงานที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้อย่างยั่งยืน</p> <p> </p>
พระปราโมทย์ พุทฺธธมฺโม (แซ่ลี้)
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
173
180
-
การเสริมสร้างสุขภาวะและการบริหารเครือข่ายทางสังคมในการลดเหล้าและบุหรี่เชิงพุทธบูรณาการ ของพระสงฆ์ จังหวัดสมุทรสงคราม
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1450
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของสุขภาวะและเครือข่ายทางสังคมของพระสงฆ์จังหวัดสมุทรสงคราม 2. พัฒนากิจกรรมในการลดเหล้าบุหรี่และเครือข่ายทางสังคมในการลดเหล้า บุหรี่เชิงพุทธบูรณาการ และ 3. นำเสนอการเสริมสร้างสุขภาวะและการบริหารเครือข่ายทางสังคมในการลดเหล้าบุหรี่เชิงพุทธบูรณาการของพระสงฆ์ จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสำรวจภาคสนามใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม จำนวน 18 รูปหรือคน 1. พระเถระ คณะสงฆ์ ตัวแทนกลุ่ม องค์กรทางพระพุทธศาสนา 2. ผู้นำชุมชน ประชาชนผู้เดินทางมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันธรรมสวนะ และ 3. ภาคีเครือข่ายและตัวแทนประชาชน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของสุขภาวะวัดอินทาราม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นต้นแบบภายในวัดจัดเป็นศูนย์ฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ใช้สมุนไพรควบคู่กับการปฏิบัติธรรมรักษาผู้ติดยาเสพติด 2. พัฒนากิจกรรมในการลดเหล้าบุหรี่โดยเครือข่ายทางสังคมมีพระสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ และชุมชน 3. การเสริมสร้างสุขภาวะและการบริหารเครือข่ายทางสังคมในการลดเหล้าบุหรี่เชิงพุทธบูรณาการ 4 มิติ 1. มิติทางกายมีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแก่พระสงฆ์ภายในวัดและชุมชนในกิจกรรมต่างที่วัดและหน่วยงานราชการจัดขึ้น 2. มิติทางจิตใจได้มีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาเพื่อให้นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต 3. มิติทางสังคมดูแลรักษาชุมชนด้วยการเสริมสร้างสุขภาวะเพื่อลดเหล้าบุหรี่ในชุมชนและสังคมผ่านกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพของชุมชน 4. มิติทางปัญญา ทางวัดได้จัดกิจกรรมในการส่งเสริมสุขภาพร่วมกับชุมชนทำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยปัญญา</p>
ประเสริฐ ธิลาว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
1
12
-
การพัฒนาสมรรถนะการบริหารของผู้บริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1274
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับสมรรถนะการบริหาร 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักพละ 4 กับสมรรถนะการบริหาร 3. การพัฒนาสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยโดยบูรณาการกับหลักพละ 4 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ คือการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท นำเสนอเป็นความเรียงประกอบตารางแจกแจงความถี่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่บุคลากรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จำนวน 196 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง หลักพละ 4 กับสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยหลักพละ 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.38, S.D.= 0.49) ระดับของสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.36, S.D.= 0.33) 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักพละ 4 กับสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หลักพละ 4 กับสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับน้อย (R = .237**) 3. การพัฒนาสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยบูรณาการกับหลักพละ 4 มุ่งเน้นพัฒนาด้านการสื่อสารเพื่อลดข้อผิดพลาดและความขัดแย้ง เสริมทักษะการทำงานเป็นทีม พัฒนาการคิดเชิงกลยุทธ์โดยเน้นการวิเคราะห์สถานการณ์ สร้างความเข้าใจต่อกระแสโลกาภิวัตน์ และเสริมทักษะการบริหารตนเอง เช่น การจัดการเวลา การควบคุมอารมณ์ และการปรับตัวต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสม</p>
พระมหาภราดร ภูริสฺสโร (สุวรรณรัตน์)
หัฏฐกรณ์ แก่นท้าว
เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
13
25
-
พุทธวิธีส่งเสริมการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1209
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. ศึกษาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 3. นำเสนอพุทธวิธีส่งเสริมการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยการประยุกต์ตามหลักสัปปายะ 4 รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี ซึ่งการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาและการวิจัยเชิงปริมาณ โดยแจกสอบถามกับประชาชนในพื้นที่ที่มีการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 399 คน โดยสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ดังนี้ ด้านการบริหารจัดการ รองลงมาคือ ด้านศักยภาพในการดึงดูดใจ และด้านศักยภาพในการรองรับ ตามลำดับ 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว พบว่า 1. ปัจจัยองค์ประกอบการจัดการท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 4 ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยเรียงลำดับดังนี้ ด้านกำหนดแผนงานและกฎระเบียบ ด้านประเมินผลการแก้ปัญหา ด้านพิจารณากิจกรรมการท่องเที่ยว และด้านการบริหารจัดการชุมชน และ 2. หลักสัปปายะ 4 ส่งผลต่อการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 4 ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยเรียงตามลำดับดังนี้ อาวาสสัปปายะ สถานที่เหมาะสม ปุคคลสัปปายะ บุคคลเหมาะสม อาหารสัปปายะ อาหารเหมาะสม และธรรมสัปปายะการพูดคุยเหมาะสม 3. การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยการประยุกต์หลักสัปปายะ 4 พบว่า แหล่งท่องเที่ยวมีความสะอาด สะดวก ปลอดภัย สามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม มีการดำเนินการปรุงอาหารถูกสุขอนามัย ถ่ายทอดความรู้ด้วยศิลปวัฒนธรรม และสร้างความเข้าใจในคุณค่าอัตลักษณ์ชุมชน</p>
พระมหาดิลกรัศมี ฐิตจาโร (วุฒิยา)
สุรพล สุยะพรหม
เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
26
39
-
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการบริหารจัดการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1195
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อศึกษานวัตกรรมการบริหารจัดการ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อนวัตกรรมการบริหารจัดการ และ 3. เพื่อนำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการบริหารจัดการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการวิธีวิจัยแบบผสมวิธี เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งได้แก่ บุคลากรของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 387 คน สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 รูปหรือคน และสนทนากลุ่มเฉพาะ 9 รูปหรือคน เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. นวัตกรรมการบริหารจัดการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.19, S.D.= 0.61) เรียงลำดับดังนี้ ด้านวัฒนธรรมเพื่อมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรม ด้านความรู้สู่การสร้างนวัตกรรม ด้านการนำองค์กรสู่การจัดการนวัตกรรมที่ยั่งยืน ด้านนวัตกรรมเพื่อมุ่งเน้นลูกค้าและตลาด และด้านยุทธศาสตร์ด้านนวัตกรรม 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อนวัตกรรมการบริหารจัดการ พบว่า 1. การบริหารจัดการภายในองค์กร ได้แก่ การบังคับบัญชาสั่งการ การวางแผน การจัดองค์การ การควบคุม ส่งผลต่อนวัตกรรมการบริหารจัดการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2. หลักอิทธิบาท 4 ได้แก่ วิริยะ การสู้งาน ฉันทะ การมีใจรักในงาน จิตตะ การใส่ใจในงานที่ทำ วิมังสา การทำงานด้วยปัญญา ส่งผลต่อนวัตกรรมการบริหารจัดการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการบริหารจัดการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พบว่า มีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ หลักอิทธิบาท 4 เข้ามาบูรณาการเพื่อให้เกิดการส่งเสริมนวัตกรรมการบริหารจัดการ นอกจากนั้นยังนำการบริหารจัดการภายในองค์กรมาเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมนวัตกรรมการบริหารจัดการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อีกด้วย คือ การวางแผน การจัดองค์การ การบังคับบัญชาสั่งการ การประสานงาน และการควบคุม</p>
กนกกร อารีรักษ์
สุรพล สุยะพรหม
เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
40
52
-
พุทธธรรมาภิบาลเพื่อการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับการดำเนินงานของ โรงงานอุตสาหกรรมของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1234
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการจัดการความขัดแย้ง 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความขัดแย้ง 3. นำเสนอพุทธธรรมาภิบาลเพื่อการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 387 คน ใช้แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.891 วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน และการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัยนำมาสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 10 รูปหรือคน เพื่อยืนยันผลการศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.24, S.D.=0.91) ดังนี้ ด้านการร่วมมือ ด้านการแข่งขัน ด้านการหลีกเลี่ยง ด้านการประนีประนอม และด้านการยอมตาม 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง พบว่า ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม 5 ด้านคือ นิติธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม ความยั่งยืน ความยุติธรรม และประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และหลักสาราณียธรรม 6 ส่งผลต่อการจัดการความขัดแย้ง ทั้ง 6 ด้าน คือ เมตตามโนกรรม สีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา เมตตากายกรรม ประพฤติดี และ เมตตาวจีกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. พุทธธรรมาภิบาลเพื่อการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง พบว่า ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม บูรณาการกับหลักสาราณียธรรม 6 ส่งผลต่อการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง ดังนี้ ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ความโปร่งใส ความรับผิดชอบต่อสังคม นิติธรรม ความยุติธรรม ความยั่งยืน</p>
ธนภัทร บัวพนัส
บุญทัน ดอกไธสง
สมาน งามสนิท
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
53
64
-
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ของเทศบาลในจังหวัดเชียงใหม่
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1188
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลในจังหวัดเชียงใหม่ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลในจังหวัดเชียงใหม่ 3. เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลในจังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 220 คน ใช้แบบสอบถามที่มี ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.929 และการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัยนำมาสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 10 รูปหรือคน เพื่อยืนยันผลการศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลในจังหวัดเชียงใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"> =3.56, S.D.=0.58) ดังนี้ พัฒนาบริการที่สะดวกและเข้าถึง ยกระดับการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลภาครัฐ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ และสร้างมูลค่าเพิ่มและอำนวยความสะดวกแก่ภาคประชาชน 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า 1. การบริหารจัดการ คือ การจัดองค์การ การบังคับบัญชาสั่งการ การประสานงาน การวางแผน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 2. หลักอิทธิบาท 4 คือ วิมังสา วิริยะ จิตตะ ฉันทะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 3. การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเทศบาลในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า มี 4 ด้าน คือ การยกระดับการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลภาครัฐ การพัฒนาบริการที่สะดวกและเข้าถึงง่าย การสร้างมูลค่าเพิ่มและอำนวยความสะดวกแก่ภาคประชาชน และ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ</span></p>
ชนาธิป พรมวัน
บุญทัน ดอกไธสง
เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
65
78
-
การพัฒนาการบริหารจัดการวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธ ในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1251
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร 3. เพื่อนำเสนอการพัฒนาการบริหารจัดการวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 385 คน ใช้แบบสอบถามที่มี ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.921 และการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัยนำมาสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 10 รูปหรือคน เพื่อยืนยันผลการศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.97) โดยเรียงลำดับดังนี้ ด้านการประเมินผล ด้านการบริหาร ด้านการวางแผน และด้านการตรวจสอบ 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า การบริหารจัดการ 4 ด้านคือ ด้านการตรวจสอบ ด้านการวางแผน ด้านการบริหาร และด้านการประเมินผล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และหลักอิทธิบาท 4 ส่งผลต่อการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านวิมังสา ด้านฉันทะ ด้านจิตตะ และด้านวิริยะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. การพัฒนาการบริหารจัดการวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า การบริหารจัดการ ได้แก่ การวางแผน การบริหาร การตรวจสอบ และการประเมินผล โดยนำพุทธศาสนาโดยเฉพาะหลักอิทธิบาท 4 เข้ามาพัฒนาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร ดังนี้ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ส่งผลต่อการพัฒนาการบริหารจัดการวัดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร ดังนี้ ด้านการประสานงาน ด้านสร้างการมีส่วนร่วม ด้านสถานที่ ด้านบุคลากร ด้านกิจกรรม ด้านการจัดทำโปรแกรมการท่องเที่ยววัด ด้านการประชาสัมพันธ์</span></p>
มณฑนรรห์ อุปถัมภ์
บุญทัน ดอกไธสง
เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
79
89
-
การพัฒนาการบริหารการจัดการอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ ของวัดในจังหวัดราชบุรี
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1523
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปและปัญหาอุปสรรคในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ของวัดในจังหวัดราชบุรี 2. เพื่อศึกษากระบวนการบริหารจัดการการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ของวัดในจังหวัดราชบุรี และ 3. เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาการบริหารการจัดการอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ของวัดในจังหวัดราชบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 25 รูปหรือคน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แล้วทำการสนทนากลุ่มเฉพาะกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 รูปหรือคน และใช้เทคนิคการวิเคราะห์ เนื้อหาเชิงพรรณนา สรุปเป็นความเรียง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพทั่วไปของการอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ของวัดในจังหวัดราชบุรี พบว่ามี จุดแข็ง อยู่ที่ความเข้มแข็งของชุมชนและความศรัทธาของประชาชนต่อวัด ทำให้สามารถสืบทอดประเพณีและศิลปวัฒนธรรมได้อย่างต่อเนื่อง จุดอ่อน ได้แก่ การขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญและทรัพยากรที่จำกัดในการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ ส่วน โอกาส คือการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและสื่อสมัยใหม่เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ส่วน อุปสรรค ประกอบด้วยอิทธิพลของวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่อาจทำให้ประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่นลดน้อยลง และข้อจำกัดด้านงบประมาณและนโยบายสนับสนุน 2. กระบวนการบริหารจัดการการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ของวัดในจังหวัดราชบุรี พบว่า การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ของวัดในจังหวัดราชบุรี แม้ว่าจะมีความเข้มแข็งของชุมชนและความศรัทธาของประชาชน แต่ก็ยังพบจุดอ่อน 3. รูปแบบการพัฒนาการบริหารการจัดการอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ของวัดในจังหวัดราชบุรี ใช้ หลักพละ 4 และ 4M ในการวิเคราะห์ 3 ด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการ การมีส่วนร่วม และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ พบว่า การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพในด้านการวางแผนและทรัพยากรบุคคล การมีส่วนร่วมของชุมชนช่วยเสริมสร้างความต่อเนื่องของประเพณี และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้</p>
พระธีรวัชร์ มุตฺตจิตฺโต (อุดมสิน)
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
90
100
-
การพัฒนาประสิทธิผลการบริหารจัดการศาสนทายาทของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/A_GJ/article/view/1524
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และอุปสรรคการบริหารจัดการศาสนทายาทของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร 2. ศึกษาองค์ประกอบในการพัฒนาการบริหารจัดการศาสนทายาทคณะสงฆ์กรุงเทพมหานครให้เกิดประสิทธิผล และ 3. นำเสนอกระบวนการพัฒนาการบริหารจัดการศาสนทายาทของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานครให้เกิดประสิทธิผล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 25 รูปหรือคน และการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 9 รูปหรือคน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพปัจจุบัน ปัญหา และอุปสรรคการบริหารจัดการศาสนทายาทของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร การพัฒนาการบริหารจัดการศาสนทายาทของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร พบว่า คณะสงฆ์กรุงเทพมหานครจะมีโครงสร้างการบริหารจัดการเข้มแข็ง วัดและศูนย์กลางการศึกษามาก มีศักยภาพด้านทรัพยากรและการสนับสนุน รวมทั้งสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และปัญหาหลัก 6 ประการ ได้แก่ จำนวนศาสนทายาทลดลง ปัญหาด้านการศึกษา งบประมาณไม่เพียงพอ คุณภาพและพฤติกรรมของศาสนทายาทบางส่วน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ยังไม่ทั่วถึง และข้อจำกัดการบริหารภายในคณะสงฆ์ 2.องค์ประกอบในการพัฒนาการบริหารจัดการศาสนทายาทคณะสงฆ์กรุงเทพมหานครให้เกิดประสิทธิผล การพัฒนาศาสนทายาทที่มีประสิทธิผลมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก คือ 1. การศึกษา (บูรณาการความรู้ทางธรรมและศาสตร์สมัยใหม่) 2. การอบรม (ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และภาวะผู้นำ) และ 3. การพัฒนา (เสริมสร้างศรัทธา ทักษะชีวิต และการใช้เทคโนโลยีในการเผยแผ่ธรรม) และ 3.กระบวนการพัฒนาการบริหารจัดการศาสนทายาทของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานครให้เกิดประสิทธิผล 4 ด้าน คือ 1. การสร้างศาสนทายาทให้มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา 2. การยกระดับกระบวนการการบริหารจัดการศาสนทายาทให้มีประสิทธิผล 3. ต้นแบบองค์กรศาสนทายาทแห่งการเรียนรู้ และ 4. ความพร้อมและศักยภาพในด้านทรัพยากรการพัฒนาศาสนทายาท เพื่อให้เกิดกระบวนการบริหารจัดการที่เหมาะสมควรยกระดับสู่การมี “แผนแม่บท” ที่ชัดเจนมีระบบติดตามและประเมินผล</p>
พระมหามนูญ ปริญฺญาโณ (พรมจินดา)
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาวิชาการ
2025-09-25
2025-09-25
3 3
101
114