https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/issue/feed
Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
2025-09-04T17:47:59+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.สุธรรม ธรรมทัศนานนท์
jgsm.spukk@gmail.com
Open Journal Systems
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/747
บทบาทของระบบพี่เลี้ยงและให้คำปรึกษาในการพัฒนาครู: การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบรูปแบบการนิเทศของประเทศไทยและต่างประเทศ
2024-11-10T19:46:16+07:00
จุฑามาศ ทรายแก้ว
Jutamas.saik@ku.th
ปัฐมาภรณ์ พิมพ์ทอง
fedupppi@ku.ac.th
เอกภูมิ จันทรขันตี
feduepj@ku.ac.th
อรุณี เอี่ยมใบพฤกษ์
arunee.ea@ku.ac.th
<p> บทความนี้เป็นการฉายภาพแนวคิดการพัฒนาครูสมัยใหม่ เปลี่ยนจากรูปแบบการฝึกอบรมแบบรับความรู้ฝ่ายเดียว มาเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ประเมินผลจากการปฏิบัติจริงของครูและเน้นการพัฒนาสมรรถนะ ตลอดช่วงชีวิตวิชาชีพ นั่นก็คือการใช้ระบบพี่เลี้ยงและให้คำปรึกษาในการพัฒนาครู ซึ่งเป็นวิธีการนิเทศการสอนที่มีประสิทธิภาพสูง การเชื่องโยงกับทฤษฎีเบื้องต้นเกี่ยวกับระบบพี่เลี้ยงและการให้คำปรึกษา ที่เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่และการเรียนรู้จากประสบการณ์ สถานการณ์ปัจจุบันของระบบพี่เลี้ยง และการให้คำปรึกษาในประเทศไทยที่ได้มีการนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง การเปรียบเทียบรูปแบบการนิเทศของประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อนำจุดเด่นของต่างประเทศผสานเข้ากับจุดแข็งของประเทศไทย บทความนี้ได้กล่าวถึงความท้าทายและโอกาสในการนำระบบพี่เลี้ยงและการให้คำปรึกษาไปใช้ รวมถึงแนวทาง การพัฒนาครูในอนาคต ทั้งนี้เพื่อพัฒนาครูซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการยกระดับคุณภาพการศึกษา </p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/1547
สารบัญ
2025-09-04T17:40:39+07:00
JGSM SPUKK
JGSM.SPUKK@gmail.com
<p>สารบัญ</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/1548
ภาคผนวก
2025-09-04T17:47:59+07:00
JGSM SPUKK
JGSM.SPUKK@gmail.com
<p>ภาคผนวก</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/1544
ส่วนหน้า
2025-09-04T17:04:31+07:00
JGSM SPUKK
JGSM.SPUKK@gmail.com
<p>ส่วนหน้า</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/1545
ฉบับเต็ม
2025-09-04T17:26:46+07:00
JGSM SPUKK
JGSM.SPUKK@gmail.com
<p>Full Issue</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/805
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาเศษส่วน วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ TGT สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-02-12T17:34:58+07:00
กัญญารวี กุลนันทนนท์
ploykanyarawi@gmail.com
ธนวรรณ พลสาลี
thanawanponsalee@gmail.com
ศศิกานต์ จันบัติ ศศิกานต์ จันบัติ
sasikanchabat@gmail.com
สุจิตราภรณ์ ชินโฮง
SujitrapornChinhong@gmail.com
รัตติกาล สารกอง รัตติกาล สารกอง
rattikan_s@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาเศษส่วน วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระหว่างการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบ TGT กับการสอนแบบปกติ 2) ศึกษาทักษะการแก้ปัญหา เรื่อง โจทย์ปัญหาเศษส่วน วิชา คณิตศาสตร์ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ TGT 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง โจทย์ปัญหาเศษส่วน วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ TGT กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/5 จำนวน 40 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 จำนวน 35 คน ภาคเรียนที่ 1/2567 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 3) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหา 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบกลุ่มอิสระ (Independent samples t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ TGT สูงกว่าที่เรียนด้วยการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการแก้ปัญหาด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเทคนิค การจัดการเรียนรู้แบบ TGT เรื่อง โจทย์ปัญหาเศษส่วน วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/5 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 6.63 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.598 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/5 การจัดการเรียนรู้ เรื่อง โจทย์ปัญหาเศษส่วน โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบ TGT โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ ปานกลาง ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 2.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/887
การพัฒนาโมเดลต้นแบบการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 1: การวิจัยประสบการณ์ผู้ใช้
2025-01-28T12:42:56+07:00
Thipsuda Konpang
thipsudakonpang@kkumail.com
เบญลักษณ์ คุโณภาส
Benjaluck.k@kkumail.com
ณัฐณิฌา ริยะ
Natnicharr@kkumail.com
พรพิมล ชิตทอง
pornphimon.c@kkumail.com
ณัฐชนน ศรีวรมย์
Natchanon.sr@kkumail.com
ดาวรุวรรณ ถวิลการ
dawtha@kku.ac.th
จตุภูมิ เขตจัตุรัส
jketcha@kku.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ประสบการณ์ผู้ใช้ 2) พัฒนาโมเดลต้นแบบ และ 3) ตรวจสอบความเหมาะสมของโมเดลต้นแบบการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 การวิจัยมี 3 ระยะ ระยะแรกศึกษาประสบการณ์ผู้ใช้เกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู 10 คน ระยะสอง พัฒนาโมเดลต้นแบบการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา และตรวจสอบคุณภาพของโมเดลต้นแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ระยะสาม ตรวจสอบความเหมาะสมของโมเดลต้นแบบ จากผู้ใช้คือ ครู จำนวน 310 คน เครื่องมือวิจัย คือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบประเมินคุณภาพ และ 3) แบบประเมินความเหมาะสม สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสบการณ์ผู้ใช้ของครูและผู้บริหารสถานศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของความขัดแย้ง และแนวทางการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา พบว่า สาเหตุของความขัดแย้งในสถานศึกษามี 3 มิติ คือ ด้านลักษณะส่วนบุคคล ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ในองค์กร และด้านทรัพยากร แนวทางการบริหารความขัดแย้ง มีข้อเสนอคือ รับฟังและเข้าใจสาเหตุของความขัดแย้งอย่างเป็นกลาง สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ จัดการความขัดแย้งแบบเชิงรุก แก้ไขปัญหาก่อนจะลุกลาม ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ 2) การพัฒนาโมเดลต้นแบบการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา ได้โมเดลต้นแบบการบริหารความขัดแย้งในสถานศึกษา PEACE MODEL มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) P: Proactive Approach 2) E: Effective Communication 3) A: Active Listening 4) C: Collaboration และ 5) E: Emotional Awareness ซึ่งผลการประเมินคุณภาพของโมเดลต้นแบบจากผู้เชี่ยวชาญ ภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการประเมินความเหมาะสมของโมเดลต้นแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ( ค่าเฉลี่ย= 4.852, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.356)</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/925
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาระบบการนิเทศภายในของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2
2025-03-01T14:27:19+07:00
อภิชัย ซาซุม
sasoomapichainpt2@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็น 2) พัฒนารูปแบบ 3) ทดลองใช้รูปแบบ 4) ประเมินรูปแบบการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาระบบการนิเทศภายในของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2 โดยใช้ตารางประมาณการขนาดตัวอย่างของเครซี่และมอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลาก โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยในการสุ่มได้ผู้บริหารสถานศึกษา 92 คน และครูโรงเรียนละ 3 คน รวมทั้งสิ้น 368 คน เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย 1) แบบประเมินรูปแบบ 2) แบบประเมินพฤติกรรม การนิเทศภายใน 3) แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้ และ 4) แบบบันทึกผลลัพธ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ครูต้องการการนิเทศแบบชี้แนะและเป็นพี่เลี้ยง (Coaching & Mentoring) ที่จะส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษที่ 21 2) รูปแบบการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาระบบการนิเทศภายในของโรงเรียน มี 5 องค์ประกอบ 3) ผลการใช้รูปแบบ พบว่า (1) ผู้บริหารมีพฤติกรรมการนิเทศภายในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (2) ครูมีระดับความสามารถในการจัดการเรียนรู้หลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ และ (3) ผู้บริหารมีผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการนิเทศภายใน ครูมีผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และผู้เรียนได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถนะและทักษะในศตวรรษที่ 21 และ 4) ผลการประเมินการใช้รูปแบบ ด้านความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ พบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/749
การวิเคราะห์องค์ประกอบความสำเร็จในการจัดการการศึกษาของอาชีวศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี
2024-11-05T07:32:00+07:00
อารีย์ เลิศกิจเจริญผล
orathaiys@gmail.com
ศุภสิทธิ์ ดีรักษา
suppasitdrk@gmail.com
วิชัย ชื่นชาติ
Wichaict@gmail.com
นิรุตต์ ประยูรเจริญ
mnirutprayur6422@gmail.com
รมย์นลิน ลิ้มรัก
jeeji8989@gmail.com
ศิราณี ศรีสุยิ่ง
Sirani@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาองค์ประกอบความสำเร็จในการจัดการการศึกษาของอาชีวศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี และเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน นักศึกษา จำนวน 512 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 55 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า ความสำเร็จในการจัดการการศึกษาของอาชีวศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมาก 2 ด้าน และอยู่ในระดับปานกลาง 2 ด้าน โดยด้านหลักสูตรมีค่าเฉลี่ยสูงสุดและอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านการจัดการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก และด้านการบริหารจัดการ, ด้านการจัดการศึกษาทวิภาคี อยู่ในระดับปานกลาง ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบของตัวแปรใน 4 ด้าน อยู่ระหว่าง 0.31-0.98 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยตัวแปรที่มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการบริหารจัดการ และด้าน การจัดการศึกษาทวิภาคี ตามลำดับ โดยมีดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ประกอบด้วย ค่าไคสแควร์ เท่ากับ 145.56 ค่า P-value เท่ากับ 0.087 องศาความเป็นอิสระ (df) เท่ากับ 61 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.93 ดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ 0.90 ค่าดัชนีรากกำลังสองของค่าเฉลี่ยค่าความแตกต่างโดยประมาณ (SRMR) เท่ากับ 0.043 และค่าดัชนีความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.047</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JGSM_SPUKK/article/view/1546
บทบรรณาธิการ
2025-09-04T17:31:55+07:00
JGSM SPUKK
JGSM.SPUKK@gmail.com
<p>บทบรรณาธิการ</p>
2025-09-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Graduate School of Management Studies of Sripatum University Khon Kaen Campus: JGSM-SPUKK