https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JLR/issue/feed
ภาษาปริทรรศน์ มจร
2025-05-31T23:10:38+07:00
Asst.Prof.Dr.Veerakran Kanokkamalade
warasaanpasaparitass@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารภาษาปริทรรศน์ มจร: </strong>มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยของคณาจารย์ นิสิตและบุคลากรทั่วไปในสาขาวิชาด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และจิตวิทยา</p> <p><strong>การพิจารณาคัดเลือกบทความ:<br /></strong> บทความแต่ละบทความที่ตีพิมพ์จะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) จำนวน 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Doubleblind Peer Review)</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ:</strong></p> <p><strong>ฉบับที่ 1 </strong>: มกราคม – เมษายน</p> <p><strong>ฉบับที่ 2 </strong>: พฤษภาคม – สิงหาคม</p> <p><strong>ฉบับที่ 3 </strong>: กันยายน – ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong></p> <p>1. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือด้านภาษา วรรณกรรม การสื่อสาร และภาษาศาสตร์ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ</p> <p>2. เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการระหว่างคณาจารย์ นักวิจัย นิสิต และผู้สนใจในสาขาภาษาและการสื่อสาร สนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ทางภาษาและการสื่อสารให้สอดคล้องกับปรัชญาแห่งการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย</p> <p>3. เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการที่มีคุณภาพและมาตรฐานสำหรับผู้วิจัยและนักวิชาการทั้งในและนอกสถาบัน</p> <p>4. เพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่มีคุณธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม</p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์:</strong></p> <p>บทความวิชาการทั่วไป บทความวิจัย และผลงานสร้างสรรค์อื่น ๆ ของนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมเผยแพร่บทความ ภาษาปริทรรศน์ มจร:</strong><br />บทความวิชาการ/บทความวิจัย/ปกิณกะ วิจารณ์หนังสือ บทความละ 1,500 บาท โดยชำระค่าธรรมเนียมหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการวารสารก่อนส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ<br /><br />ทั้งนี้ ภาษาปริทรรศน์ มจร ขอสงวนสิทธิ์ว่า การโอนค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความและค่าสมัครสมาชิกมาแล้ว ไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ไม่ว่ากรณีใดๆ</p>
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JLR/article/view/1222
ศึกษารูปแบบการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษที่ ๒๑
2025-05-31T22:25:31+07:00
วีระกาญจน์ กนกกมเลศ
vee.veerakarn@gmail.com
พระมหาสมชาย กิตฺติปญฺโญ
somchai.hc@gmail.com
ณรงค์ชัย ปิ่นทรายมูล
vee.veerakarn@gmail.com
ชาย หน่อแสง
nawseng.agg@mcu.ac.th
ลลิตา พิมพ์รัตน์
giftzzy@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยเรื่อง ศึกษารูปแบบการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ในทศวรรษที่ ๒๑ เป็นการวิจัยกึ่งทดลองและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังฤษภาษาอังกฤษระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์</p> <p> ระเบียบวิธีวิจัย กลุ่มตัวอย่างได้แก่นิสิต นักศึกษาชั้นปีที่ ๓-๔ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามุกฎราชวิทยาลัย จำนวน ๑๐๐ ตัวอย่าง และกลุ่มตัวอย่าง ให้ข้อมูลจำนวน ๑๐ ตัวอย่าง เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสรุปข้อความจาการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p> ปัจจัยส่วนบุคคลของนิสิต นักศึกษา ที่ใช้กลุ่มตัวอย่าง แสดงความคิดเห็นต่อรูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จำแนกตามปัจจัยเกี่ยวกับสมณเพศทั้งก่อนและหลังการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุ คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๐๐ มีอายุระหว่าง ๒๐-๓๐ ปี คิดเป็นร้อยละ ๗๕.๐๐ เป็นนิสิต นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๐๐ มีประสบการณ์ต่ำกว่า ๑ ปี คิดเป็นร้อยละ ๓๕.๐๐ มีประสบการณ์ระหว่าง ๑-๕ ปี คิดเป็นร้อยละ ๓๘.๐๐</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า นิสิต นักศึกษา มีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามรูปแบบที่กำหนด โดยภาพรวม ก่อนมีการเรียนตามรูปแบบ มีความคิดเห็น อยู่ในระดับ “ปานกลาง” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๐๗ เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า รูปแบบการเรียนด้วยการใช้สายตา(VSL) อยู่ในระดับ “ปานกลาง” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๒.๙๓ รูปแบบการเรียนด้วยการฟัง(ALS) อยู่ในระดับ “ปานกลาง” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๒.๘๐ รูปแบบการเรียนด้วยการกระทำ (TLS) อยู่ในระดับ “ปานกลาง” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๐๓ รูปแบบการเรียนด้วยการปฏิบัติตนในสถานการณ์ต่าง ๆ (KLS) อยู่ในระดับ “ปานกลาง” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๑๕ รูปแบบการเรียนตามลําพัง (ILS)อยู่ในระดับ “ปานกลาง” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๒๘ รูปแบบการเรียนด้วยการเรียนเป็นกลุ่ม (GLS) อยู่ในระดับ “ปานกลาง” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๒๒</p> <p> หลังจากมีการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ มีความคิดเห็น อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๓๐ เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า รูปแบบการเรียนด้วยการใช้สายตา(VSL)อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๒๕ เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า รูปแบบการเรียนด้วยการฟัง(ALS) อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๑๖ รูปแบบการเรียนด้วยการกระทำ (TLS)อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ๔.๒๔ รูปแบบการเรียนด้วยการปฏิบัติตนในสถานการณ์ต่าง ๆ (KLS) อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๔๒ รูปแบบการเรียนตามลําพัง (ILS)อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ๔.๒๖ รูปแบบการเรียนด้วยการเรียนเป็นกลุ่ม (GLS) อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๔๖ </p> <p> ส่วนนิสิต นักศึกษา มีความคิดเห็นต่อรูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ โดยภาพรวม อยู่ในระดับ ปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๒๓ เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านประเมินประสิทธิผลรูปแบบการเรียนรู้จากผู้เรียน อยู่ในระดับ ปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๒๐และด้านความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้ อยู่ในระดับ ปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๒๓</p> <p> ส่วนความคิดเห็นหลังการใช้รูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ มีความคิดเห็นโดยภาพรวมอยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๔๓ เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้ อยู่ในระดับ “มากที่สุด” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๕๗ และด้านประเมินประสิทธิผลรูปแบบการเรียนรู้จากผู้เรียน อยู่ในระดับ “มาก” มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๒๙</p> <p> จากผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยความแตกต่างของประสิทธิผลการใช้รูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ จำแนกตามก่อนและหลังการใช้รูปแบบ มีค่าเฉลี่ยเก่ากับ ๓.๖๖ เมื่อใช้สถิติ t –test ในการวิเคราะห์ เปรียบเทียบ พบว่า มีค่าเฉลี่ยที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๐ แสดงว่า การใช้รูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีผลต่อประสิทธิผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนิสิต นักศึกษา</p> <p><strong> </strong>จากผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยความแตกต่างของความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จำแนกตามก่อนและหลังการใช้รูปแบบมีค่าเฉลี่ยเก่ากับ ๓.๘๘ เมื่อใช้สถิติ t –test ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ พบว่า มีค่าเฉลี่ยที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๐แสดงว่า การใช้รูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีผลต่อความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามรู้แบบการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษา</p> <p> ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก นิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ในกลุ่มที่มีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามรูปแบบที่นักวิจัยได้ทำการทดลองกลุ่มตัวอย่างได้มีการปฏิบัติตามรูปแบบ ๖ ด้าน ทำมีความรู้ มีทักษะด้านการฟังจากเจ้าของภาษา มีสามารถพัฒนาทักษาอย่างมีประสิทธิผล ด้านการฟังการอ่าน การพูดและการเขียน ได้มีการพัฒนาสามารถจดจำคำศัพท์ใหม่ๆ ในชีวิตประจำวัน จากการใช้รูปแบบพัฒนาการเรียนรู้ </p> <p> นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการเรียนรู้ตามรูปแบบไม่น้อยกว่า ๑ ปี ใช้เวลาในการเรียนรู้ในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน วันละไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง และมีการใช้รูปแบบการพัฒนาการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JLR/article/view/1223
English Speaking Skills Problems of the Twelfth-Grade Students at Dhammaratsuksa School in Chiang Mai Province
2025-05-31T22:42:17+07:00
Jai Lungloo
wisuttichai.chai@mcu.ac.th
Hongthong S uksavahn
wisuttichai.chai@mcu.ac.th
Suchawadee Supannasan
wisuttichai.chai@mcu.ac.th
Samran Khansamrong
wisuttichai.chai@mcu.ac.th
Wisuttichai Chaiyasit
wisuttichai.chai@mcu.ac.th
<p>This research article aimed 1. to study the problems and ways to improve the English-speaking skills of the twelfth-grade students at Dhammaratsuksa School in Chaing Mai Province; 2. to compare the problems and ways to improve the English-speaking skills between monastic students and lay students of the twelfth grade at Dhammaratsuksa School in Chaing Mai Province. This study employed a quantitative method. The sample group used in the study consisted of thirty students of the twelfth grade at Dhammaratsuksa School in Chaing Mai Province, selected through a purposive sampling method. The data was collected through questionnaires with a reliability coefficient of 0.921. Data analysis involved frequency, percentage, mean, and standard deviation, while hypothesis testing utilized t-test analysis and One-Way ANOVA. The findings revealed that the twelfth-grade students at Dhammaratsuksa School in Chaing Mai Province perceived the problems related to English-speaking skills at a moderate level (x ̅ = 3.33, S.D. = 0.7928), while the methods to improve these skills were viewed at a moderate level (x ̅ = 3.27, S.D. = 0.8575). 2. The comparison of opinions regarding problems and ways to improve English-speaking skills between monastic students and lay, students of the twelfth grade at Dhammaratsuksa School in Chaing Mai Province revealed respondents with different statuses had no significant differences in their opinions on the problems associated with English-speaking skills at the 0.05 level. Additionally, there were no significant differences in the opinions of respondents with different statuses on methods to improve English-speaking skills at the 0.05 level. Consequently, the research hypotheses were rejected.</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JLR/article/view/1224
การใช้หลักพุทธจิตวิทยาในสุขภาวองค์รวมของผู้สูงอายุไทย
2025-05-31T22:50:18+07:00
ดร.จักษฐาปนิฏฐ์ บุญฤทธิ์
aksathapanith.boon@mcu.ac.th
<p>พุทธจิตวิทยา เป็นการเรียนรู้ถึงจิตเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พิจารณาความเป็นไปของจิตใจ อันเป็นปัจจัยส่งผลต่อการรู้จักแนวทางแห่งความดับทุกข์ทั้งทางกายและจิตใจโดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาทั้งกายกายและจิตใจหรือสุขภาวองค์รวม ปัญหาสุขภาพกายที่เกิดจากความสูงอายุ ระบบการทำงานของร่างกายเสื่อมถอยลงทำให้ชีวิตเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย บางโอกาสอาจจะช่วยตนเองไม่ได้ ทำให้เกิดความวิตกกังวลต่อการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพจิตรวมถึงการคิดหาแนวทางแก้ปัญหาในชีวิตของตนที่เรียกว่า ปัญญา</p> <p> การใช้หลักพุทธจิตวิทยาประยุกต์ใช้นชีวิตประจำวันเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้ปัญหาด้านความรู้สึกวิตกกังวลลดน้อยลง หากผู้อายุมีความพยายามเรียนรู้และปฏิบัติตามหลักธรรมให้มีความจริงปรากฏในตน อันได้แก่สุขภาวองค์รวม 3 หลักการ ประกอบด้วย 1) สุขภาวองค์รวมทางกายของผู้สูงอายุ ได้แก่ การมีสุขภาพกายที่ดี มีสุขภาวะทางสังคมที่ดี 2) สุขภาวะองค์ทางจิต ได้แก่ การปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาให้จิตใจมั่นคง 3) สุขภาวะทางปัญญา ได้แก่ การฝึกอบรมเจริญปัญญา เสริมสร้างความรู้ ความคิดความเข้าใจในความจริงของโลกนี้ รู้จักพิจารณาอย่างมีเหตุผลสามารถแก้ไขปัญญาในชีวิตของตนได้ตามสภาวธรรมที่เรียนรู้และปฏิบัติตนของผู้สูงอายุ</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JLR/article/view/1225
กระบวนการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
2025-05-31T23:01:15+07:00
วีระกาญจน์ กนกกมเลศ
vee.veerakarn@gmail.com
พระมหาสมชาย กิตฺติปญฺโญ
somchai.hc@gmail.com
ณรงค์ชัย ปิ่นทรายมูล
vee.veerakarn@gmail.com
ชาย หน่อแสง
nawseng.agg@mcu.ac.th
ลลิตา พิมพ์รัตน์
giftzzy@gmail.com
<p>บทความวิชาการเรื่อง กระบวนการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการและลำดับการเตรียมตัวก่อนมีการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร อาจจะมีผู้ฟังหลายระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษ การศึกษาตามแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสารภาษาอังกฤษ พบว่า ขั้นตอนการเข้าสู่การพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ ความพยายามในการเสนอข้อมูลอย่างระเอียด ได้แก่ ด้านการออกเสียง ด้านการใช้คำ ด้านไวยากรณ์ ด้านสังคมวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้ฟัง ให้เกิดความสอดคล้องและมีกาลเทศะอย่างสำคัญ การเป็นนักพูดเพื่อการสื่อสารภาษาอังกฤษ จึงจำเป็นต้องแสวงหาความรู้ให้มีความชำนาญหลายด้าน เพื่อนำเสนอข้อมูลสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความประทับใจในผู้ฟัง</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so18.tci-thaijo.org/index.php/JLR/article/view/1226
เมตตาธรรม: การอนุรักษ์และลดความต้องการผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า
2025-05-31T23:10:38+07:00
พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ชยาภินนฺโท
Tippanagorn.cha@mcu.ac.th
<p> สืบเนื่องจากเครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคม (INEB) ได้ดำเนินโครงการลดความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าประเภทงาช้างและเสือโคร่งร่วมกับผู้นำทางจิตวิญญาณมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 โดยมีเป้าหมายเพื่อยุติการลักลอบค้าสัตว์ป่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความประสงค์ให้ทุนสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารงานอนุรักษ์และลดความต้องการสัตว์ป่าในประเทศไทย ในการนี้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ โดยคณาจารย์และนิสิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ร่วมกับผู้นำและชาวบ้าน หมู่บ้านต้า ตำบลต้า และเทศบาลตำบลบ้านต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ได้ดำเนินกิจกรรมการรณรงค์ให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกให้ตระหนักถึงการอนุรักษ์และลดความต้องการผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าสู่พระสงฆ์และประชาชน</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025