วารสารวิจัยทางจิตวิทยา การศึกษาและสังคมศาสตร์ (Journal of Psychological Educational and Social Sciences Research)

แนวคิดและทฤษฎีสู่ความสำเร็จในการเรียนระดับบัณฑิตศึกษา

2025-08-11T12:55:52+07:00

การเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาเป็นช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาทางวิชาการและอาชีพ ความสำเร็จ ในระดับนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ ในการเรียนระดับบัณฑิตศึกษา โดยเน้นการศึกษา Self-Directed Learning Theory, Transformative Learning Theory, Motivation Theory และแนวคิดเรื่อง Metacognition พร้อมทั้งนำเสนอตารางเปรียบเทียบ และข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิผลอย่างลึกซึ้ง และยั่งยืน

Graduate education represents a crucial stage in both academic and professional development. Success at this level depends not only on academic performance, but also on the ability to think critically, conduct research, and engage in continuous self-improvement. This article aims to analyze key concepts and theories related to academic success at the graduate level, with a particular focus on self-directed learning theory, transformative learning theory, motivation theory, and the concept of metacognition. The article also presents a comparative table and practical recommendations for learners and stakeholders, to promote deep, effective, and sustainable learning.

แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองและการอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายในโรงเรียนพหุวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

2025-08-12T09:42:26+07:00

การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองและการอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายในโรงเรียน พหุวัฒนธรรมเป็นภารกิจสำคัญของการศึกษาไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษา และวิถีชีวิต งานวิจัยนี้นำเสนอแนวทางหลัก 5 ประการ ได้แก่ 1) การพัฒนาหลักสูตรย่อยและกิจกรรมที่สะท้อนความหลากหลาย โดยเชื่อมโยงกับภูมิปัญญา เรื่องเล่า และประเพณีท้องถิ่นเพื่อสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ 2) การเรียนรู้จากชุมชน ผ่านการลงพื้นที่ ศึกษาชีวิตจริง และแลกเปลี่ยนกับผู้นำหรือศูนย์วัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจข้ามวัฒนธรรม 3) การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้เรียนแสดง ความคิดเห็น ที่เปิดโอกาสให้ถกเถียงและแลกเปลี่ยนอย่างปราศจากอคติ 4) การใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายและไม่เหมารวมอัตลักษณ์ ทั้งภาษา ภาพ และเสียง ที่สะท้อนความแตกต่างและเหมาะสมกับช่วงวัย และ 5) การอบรมครูให้เข้าใจความหลากหลาย เพื่อจัดการเรียนรู้ที่ครอบคลุมและไม่ตัดสินผู้เรียนจากพื้นเพ แนวทางเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับพัฒนาการตามช่วงวัย ตั้งแต่การสร้างทักษะพื้นฐานด้านภาษาในระดับประถม การบูรณาการสิทธิมนุษยชนในระดับมัธยมต้น ไปจนถึงการพัฒนาทักษะเชิงวิพากษ์และการออกแบบโครงการเพื่อสังคมในระดับมัธยมปลาย การดำเนินการเชิงบูรณาการเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้โรงเรียนพหุวัฒนธรรมเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เท่าเทียมและครอบคลุม แต่ยังปูรากฐานสู่การสร้างพลเมืองที่มีวิจารณญาณ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างยั่งยืน

Learning management to promote citizenship and coexistence in multicultural schools is a crucial mission of Thai education, particularly in Chiang Rai Province, where ethnic religious linguistic and cultural diversity is highly pronounced. This study proposes five key approaches: 1) developing localized curricula and activities that reflect diversity by integrating indigenous knowledge folklore and local traditions to foster pride in cultural identity 2) community-based learning which involves fieldwork real-life studies and exchanges with community leaders or cultural centers to enhance cross-cultural understanding 3) creating safe spaces for student expression, where learners can engage in open discussions and dialogues free from prejudice or discrimination 4) using diverse and non-stereotypical learning media including languages, images, and sounds that represent cultural differences appropriately across age levels, and 5) teacher training for diversity awareness enabling teachers to design inclusive learning experiences without judging students based on their backgrounds. These approaches should align with students’ developmental stages from building basic language and communication skills at the primary level integrating human rights education at the lower secondary level to fostering critical thinking and social project design at the upper secondary level. Such an integrated framework not only transforms multicultural schools into inclusive and equitable learning spaces but also lays the foundation for cultivating citizens with critical awareness, respect for human dignity, and the capacity to coexist peacefully in a multicultural society.

ผลการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันต่อการพัฒนาทักษะและเจตคติด้านภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

2025-07-22T21:53:12+07:00

การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะภาษาอังกฤษระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน (TGT) 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน (TGT) และ 3) ศึกษาเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษที่ประยุกต์ใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน (TGT) ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) ร่วมกับเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน (TGT) 2) แบบทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ 3) แบบวัดเจตคติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีประสิทธิผล ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบทักษะภาษาอังกฤษ หลังเรียน (μ = 14.58, σ = 1.66) มีคะแนนสูงกว่าก่อนเรียน (μ = 8.92, σ = 1.75) 2) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน (TGT) มีค่าเท่ากับ 0.5113 และ 3) เจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก (μ = 4.64, σ = 0.48)

The purposes of this research study were: 1) to compare English language skills before and after learning by applying Communicative Language Teaching (CLT) combined with the cooperative learning technique of Teams Games Tournament (TGT) among Grade 5 students, 2) to study the effective index of the instructional approach integrating Communicative Language Teaching (CLT) with cooperative learning technique of Teams Games Tournament (TGT), and 3) to study the student’s attitudes toward learning English through the integration of Communicative Language Teaching (CLT) and cooperative learning technique of Teams Games Tournament (TGT). The participants in this study were 12 students of 5th grade classroom. The research instruments included a lesson plan based on the CLT and TGT approaches, an English language proficiency test, and an attitude questionnaire to assess students’ perceptions of learning experience. The research design was a quasi-experimental research design. The results of this research were as follows:

1) The English language skills of students after learning (μ = 14.58, σ = 1.66) with the CLT and TGT-integrated learning were higher than before learning (μ = 8.92, σ = 1.75).

2) The effective index of the CLT and TGT-integrated learning model indicated its efficacy of enhancing students’ English language skills was 0.5113.

3) The students’ attitudes toward learning English through the CLT and TGT approach were at a very good level (μ = 4.64, σ = 0.48).

ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตผ่านโปรแกรมจำลองสถานการณ์ เรื่อง เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการทำงานกลุ่มของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาช่างยนต์

2025-07-23T09:08:42+07:00

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลังเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตผ่านโปรแกรมจำลองสถานการณ์ เรื่อง เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชา ช่างยนต์ 2) เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตผ่านโปรแกรมจำลองสถานการณ์ เรื่อง เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาช่างยนต์ และ 3) เพื่อศึกษาทักษะการทำงานกลุ่มของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาช่างยนต์ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตผ่านโปรแกรมจำลองสถานการณ์ เรื่อง เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคระยอง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีประสิทธิผล และการทดสอบค่าที แบบ Dependent sample ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังเรียนด้วย การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตผ่านโปรแกรมจำลองสถานการณ์ เรื่อง เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ดัชนีประสิทธิผลของ การเรียนรู้ด้วยวิธีดังกล่าว มีค่าเท่ากับ 0.7007 หรือร้อยละ 70.07 แสดงว่านักศึกษามีความก้าวหน้าทาง การเรียนคิดเป็นร้อยละ 70.07 3) ทักษะการทำงานกลุ่มของนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีนี้โดยรวมอยู่ในระดับดี (𝑥̅ = 2.64, SD = 0.49)

The purposes of this research were: 1) to compare the learning achievement of vocational certificate students before and after implementing the STAD (Student Teams Achievement Divisions) cooperative learning technique and a demonstration method with simulation program on the topic of Vernier Calipers, 2) to study the effectiveness index of this instructional approach, and 3) to investigate the group work skills of vocational certificate students towards learning through collaborative STAD technique and a demonstration method with simulation. The sample consisted of 30 first-year vocational certificate students majoring in Automotive Technology at Rayong Technical College, Rayong Province. Students were randomly selected by using cluster random sampling. The research instruments included: 1) 5 instructional lesson plans, 2) a learning achievement test, and 3) a group work skills assessment form. Data were analyzed using mean, standard deviation, effective index post-test mean scores, and t-test dependent sample statistics. The research findings revealed that: 1) the students’ learning achievement after the intervention was significantly higher than before, at the .05 level, 2) the effectiveness index of this instructional approach was 0.7007 or 70.07%, indicating a 70.07% improvement in learning, and 3) the overall group work skills of the students were at a good level (𝑥̅ = 2.64, SD = 0.49).

ผลการจัดการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน (CO-5STEPs) ต่อการส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

2025-07-30T09:44:34+07:00

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่จัดการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพ ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน กับนักเรียนที่เรียนแบบบรรยาย 2) เพื่อศึกษาสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่จัดการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพ ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลระยอง ปีการศึกษา 2567 จำนวน 2 ห้องเรียน กลุ่มควบคุม 1 ห้องเรียน 40 คน และกลุ่มทดลอง 1 ห้องเรียน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน และแผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายแบบทดสอบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบประเมินสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนกลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพ ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมที่เรียนแบบบรรยาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) สมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่จัด การเรียนรู้รายวิชาการงานอาชีพด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบรวมพลัง 5 ขั้นตอน มีผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก (𝑥̅= 3.29, SD = 0.56)

This research aimed 1) to compare the analytical thinking ability of 6th grade students who were organized to learn with the 5-step collaborative learning process with those who were organized to learn in a lecture-based method 2) to study the teamwork collaboration competency of 6th grade students who were organized to learn with the 5-step collaborative learning process. The sample group was 6th grade students of Anubanrayong School in academic year of 2024, consisting of 2 classrooms, divided into a control group of 40 participants and an experimental group with 40 participants. The research instruments consisted of learning activity plans with the 5-step collaborative learning process and the lecture-based method, analytical thinking ability test, and teamwork collaboration competency assessment form. Data analyses included the mean, standard deviation, and independent sample t-tests. The results demonstrated that: 1) the analytical thinking ability of the experimental group were organized to learn career education course with the 5-step collaborative learning process was higher than those students in control group who were organized to learn in a lecture-based method with a statistical significance level of .05, and 2) the teamwork collaboration competency of the 6th grade students who were organized to learn career education course with the 5-step collaborative learning process (CO-5STEPs) exhibited an evaluation result at a very good level (𝑥̅= 3.29, SD = 0.56).