การรับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมืองในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี

ผู้แต่ง

  • สกนธ์ เปาทุ้ย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี
  • พระมหาพิพัฒพงศ์ ฐิตธมฺโม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี
  • สมชาย ชูเมือง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี

คำสำคัญ:

หลักอิทธิบาท 4, การรับรู้ของประชาชน, บทบาทพรรคการเมือง

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมืองในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี  2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาท 4 กับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมือง 3) เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมืองในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี

ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมืองในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน และระดับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมืองในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ตามหลักอิทธิบาท 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาท 4 กับการับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมืองในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จึงยอมรับสมมติฐาน 3. การประยุกต์หลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อบทบาทพรรคการเมืองในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี  1) ฉันทะ (มีความรักในสิ่งที่ทำ) พรรคการเมืองที่แสดงออกถึงความรักและหวงแหนในถิ่นกำเนิด  ความเข้าใจในวิถีชีวิต วัฒนธรรม และปัญหาของคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง 2) วิริยะ (ความพากเพียร ไม่ย่อท้อ) พรรคการเมืองที่มุ่งมั่นตั้งใจจริง อดทน และไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคในการแก้ปัญหา 3) จิตตะ (มีความเอาใจใส่จดจ่อในสิ่งที่ทำ) พรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญกับการรับฟังปัญหา ทำความเข้าใจความต้องการที่หลากหลาย พิจารณาถึงผลกระทบอย่างรอบคอบ ติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ความตั้งใจในการพัฒนาพื้นที่ 4) วิมังสา (ทำงานแล้วไม่ทิ้ง คอยตรวจสอบ ทบทวนไตร่ตรอง พิจารณา) พรรคการเมืองที่มีการติดตาม ตรวจสอบนโยบาย ผลงาน และการทุจริตของพรรคการเมือง และเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นำมาวิเคราะห์ถึงผลดีผลเสียและพิจารณาดำเนินการแก้ไข

เอกสารอ้างอิง

คุณากร วรโชคอำพล. (2561). ทัศนคติของประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ตที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐ: ศึกษาในห้วงเวลา ปี พ.ศ. 2563 (การค้นคว้าอิสระรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารการเมือง). วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก.

ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์. (2564). การพัฒนาการเมืองไทย: การเป็นสถาบันการเมืองที่แท้จริง. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ผดุง วรรณทอง, และคณะ. (2561). การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารองค์กรเอกชนในจังหวัดนนทบุรี. วารสาร มจร.สังคมศาสตร์ปริทรรศน์, 7(2), 45–56.

เพชรแพรวพราว รามโกมุท และคณะ. (2567). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการใปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกและผู้บริหารองค์การบริหาร ส่วนตำบลของประชาชนในอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง. วารสารพุทธนวัตกรรมและการจัดการ, 7(6), 298-312.

สมคิด เลิศไพฑูรย์. (2562). พรรคการเมืองกับประชาธิปไตย. กรุงเทพมหานคร: วิญญูชน.

สุชาติ เศรษฐมาลินี. (2563). การเมืองไทย: การเมืองไทยในระบบรัฐสภา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

สุพานี สฤษฎ์วานิช. (2552). พฤติกรรมองค์กรสมัยใหม่: แนวคิดและทฤษฎี (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์. (2559). ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความตั้งใจที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด (2554) ของคนไทย. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

12/30/2025