การประยุกต์หลักสาราณียธรรมเพื่อส่งเสริมการปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลท่าชุมพล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี

ผู้แต่ง

  • พระมานิตย์ เขมานนฺโท (วิบูลย์โสภณ) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี
  • สมชาย ชูเมือง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี

คำสำคัญ:

สาราณียธรรม, การปรองดองสมานฉันท์, ชุมชน, กำนันผู้ใหญ่บ้าน

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลท่าชุมพล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 2. เพื่อเปรียบเทียบการประยุกต์หลักสาราณียธรรมเพื่อการส่งเสริมการปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลท่าชุมพล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 3. เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักสาราณียธรรมเพื่อส่งเสริมการปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลท่าชุมพล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณโดยดำเนินการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 378 คน โดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.991 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ เนื้อหาเชิงพรรณนา

ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลท่าชุมพล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงตามลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากสุดระดับมาก ได้แก่ หลักความถูกต้อง รองลงมา ได้แก่ หลักความบริสุทธิ์ โปร่งใส และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยสุดระดับมาก ได้แก่ หลักความเหมาะสม  2. ผลการเปรียบเทียบการปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในตำบลท่าชุมพล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีพบว่า ประชาชนที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ ต่างกัน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้  3. การประยุกต์หลักสาราณียธรรมเพื่อส่งเสริมการปรองดองสมานฉันท์ในชุมชนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลท่าชุมพล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดระดับมาก ได้แก่ หลักเมตตากายกรรม รองลงมา ได้แก่ หลักสาธารณโนกรรม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดระดับมาก ได้แก่ หลักเมตตามโนกรรม

เอกสารอ้างอิง

จรัส ปันธิ. (2547). วิเคราะห์การประยุกต์หลักสาราณียธรรมในการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต). บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ฝ่ายวิชาการ บริษัท สกายบุ๊กส์ จำกัด. (2549). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2550-2554. กรุงเทพมหานคร: บริษัท สกายบุ๊กส์ จำกัด, 2549.

พระครูสุวรรณธรรมาภิมณฑ์ (สมชาย เจริญผา). (2564). การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมเพื่อส่งเสริมความสมานฉันท์ในการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี (วิทยานิพนธ์รัฐประศาสตรมหาบัณฑิต). บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

พระปลัดบุญมี คุณากโร (โพธิศรีสม). (2563). การศึกษาวิเคราะห์การใช้หลักสาราณียธรรมในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของชุมชนเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 7(4), 132-143.

ไพวรรณ ปุริมาตร. (2563). พลวัตทางการเมืองกับการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของนักการเมืองท้องถิ่น (ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์).บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2564) พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 43). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมมิก จำกัด.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

12/30/2025